กรุงเทพฯ--27 มี.ค.--โลว์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ต่อเนื่องความเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบบสปอร์ตที่กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ยานยนต์โลกด้วย SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ โรดสเตอร์คาร์ระดับพรีเมี่ยมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกรุ่นใหม่นี้จะประกอบด้วยการออกแบบใหม่ที่ให้สัมผัสถึงความเป็นสปอร์ตคาร์อย่างแท้จริงและยังสะท้อนให้เห็นถึงการบังคับควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่เพิ่มมากขึ้นที่เป็นผลมาจากการใช้ระบบ direct-steer รุ่นใหม่ (เป็นอ๊อบชั่น) พร้อมกับความนุ่มนวลสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น ในรุ่น SL 350 เครื่องยนต์ที่นำมาใช้ได้รับการปรับปรุงพัฒนาใหม่ เป็นเครื่องยนต์สปอร์ตรอบเครื่องยนต์สูงให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 316 แรงม้าขณะที่ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 0.4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตรเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงความเป็นผู้นำในด้านของความปลอดภัยด้วยการใช้ไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนและระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะที่มีฟังค์ชั่นการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ในการขับขี่ ระบบ COMAND APS มัลติมีเดียที่ให้ข้อมูลข่าวสารและระบบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ซึ่งได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีฟังค์ชั่นการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น
SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่เสริมต่อประวัติศาสตร์ที่ภาคภูมิใจของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1954 ด้วย 300 SL”Gullwing” ตามมาด้วย SL โรดสเตอร์คาร์รุ่นแรกในปี ค.ศ. 1957 ซึ่งนับเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ SL-Class มีการผลิตออกจำหน่ายแล้วมากกว่า 630,000 คัน
เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ เจนเนอเรชั่นใหม่ของ SL-Class ยังคงความเยี่ยมยอดที่หาคู่แข่งขันมาเปรียบเทียบได้ สปอร์ตโรดสเตอร์คาร์ที่ให้ความสมดุลอย่างแท้จริงทั้งในด้านของความเป็นรูปลักษณ์, ความปลอดภัยและความนุ่มนวลสะดวกสบาย ซึ่งคุณลักษณ์ทั้งสามประการนี้เป็นรากฐานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์แบบสปอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ดีไซน์ใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบสปอร์ตที่แท้จริง
เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการพัฒนาทั้งในด้านของแนวคิดและการออกแบบ วิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ในแบบสปอร์ตที่มากขึ้นกว่าเดิม แรงบันดาลใจนี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากการออกแบบจมูกด้านหน้าแบบใหม่โดยมีลักษณะที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ที่มีความกว้างขึ้นและมีรูปทรงแบบ V-shape มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมให้ความรู้สึกถึงความร้อนแรง ดุดัน พลังที่พร้อมจะพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
กระจังหน้าที่มีแถบแนวนอนมีขนาดที่กว้างขึ้นเสริมให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตเต็มพิกัดทางด้านหน้าซึ่งการออกแบบในสไตล์นี้ชวนให้รำลึกถึงความสำเร็จอันเป็นตำนานของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ SL-Class รุ่นแรก ๆ นอกจากนี้ทีมงานออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังให้มีจุดเชื่อมโยงในดีไซน์ของ SL-Class รุ่นบุกเบิกด้วยการนำ powerdomes ที่ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงหน้าและช่องระบายอากาศที่มีลักษณะเหมือนเหงือกปลาที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ 300 SL ในปี ค.ศ. 1954 มาใช้กับสปอร์ตคาร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์โดยได้ปรับแต่งให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ดีไซน์คลาสสิคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษถูกนำมาหล่อหลอมรวมกับเทคโนโลยี่สมัยใหม่และความทันสมัยโดยที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับ SL-Class ใหม่นี้ประกอบด้วยจมูกด้านหน้าที่มีรูปทรงแบบ V-shape และชุดไฟหน้าที่วางตำแหน่งให้กินพื้นที่ลงไปในปีกหน้าด้านข้างมากขึ้นที่นอกจากจะให้มุมมองที่ประทับใจมากยิ่งขึ้นทางด้านหน้าของตัวรถแล้วดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ยังจะถูกถ่ายทอดไปสู่รถยนต์นั่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในอนาคตอีกด้วย
ทางด้านหลัง SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ตคาร์โดยธรรมชาติอย่างชัดเจนมากกว่ารุ่นก่อน โดยการออกแบบให้กันชนหลังมีลักษณะของตัวกระจายอากาศ diffuser ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั่นเอง นอกจากนี้ยังออกแบบให้ปลายท่อไอเสียมีรูปทรงแบบสี่เหลี่ยมคางหมูเป็นดีไซน์ที่เน้นให้เห็นถึงความกว้างของตัวถังที่เพิ่มมากขึ้นและยังเป็นสัญลักษณ์ของพลังที่อัดแน่นอยู่ในรถยนต์แบบสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นใหม่นี้
ระบบ Direct-steer: ให้ความสนุกสนามเพลิดเพลินในการขับขี่แบบสปอร์ตอย่างแท้จริง
ชื่อของ SL-Class สื่อความหมายถึงความสนุกสนานเพลิดเพลินในการขับขี่อย่างแท้จริงเช่นเดียวกับรูปแบบการดีไซน์ซึ่งมีเพียงรถยนต์แบบสปอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้นที่นำเสนอประสบการณ์ในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมที่เพียบพร้อมทั้งในด้านของการบังคับควบคุมอย่างมีประสิทธภาพโดยที่ไม่ลดทอนคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องของความนุ่มนวลสะดวกสบายและความปลอดภัยลงไปแม้แต่น้อย และด้วยสิ่งที่เป็นเหมือนคำมั่นสัญญานี้ทำให้วิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ปรับปรุงและเติมเทคโนโลยี่ต่าง ๆ ให้ SL-Class ใหม่ให้สมบูรณ์แบบเพื่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของนวัตกรรมใหม่ใน SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ได้แก่ระบบ direct-steer (อุปกรณ์สั่งพิเศษ) ที่มีหลักการทำงานอย่างง่าย ๆ แต่เฉลียวฉลาดที่ช่วยเพิ่มเติมประสบการณ์ในการขับขี่ที่สนุกสนานในสภาพเส้นทางโค้งมากยิ่งขึ้น
พัฒนาการใหม่นี้มีพื้นฐานการทำงานเกี่ยวเนื่องกับระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ปรับน้ำหนักตามอัตราความเร็วรถและระบบรักษาความสูงตัวถัง ประโยชน์ที่ได้รับจากระบบนี้สังเกตได้จากการขับรถด้วยความเร็วต่ำ, การหลบหลีกสิ่งกีดขวางหรือการนำเข้าจอด รูปแบบการทำงานใหม่นี้ประกอบด้วยอัตราทดของแรคพวงมาลัยแบบแปรผันซึ่งปรับไปตามองศาการหมุนของพวงมาลัยช่วยเพิ่มความเที่ยงตรงแม่นยำให้การบังคับเลี้ยวทันทีที่การหมุนของพวงมาลัยถึงระดับ 5 องศาจากแกนกลาง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระบบบังคับเลี้ยวแบบเดิมที่มีอัตราทดคงที่แล้ว ผู้ขับไม่จำเป็นต้องหมุนพวงมาลัยมากจนเกินความจำเป็นในเวลาเลี้ยวโค้ง รถยนต์มีการสนองตอบมากขึ้นทำให้ผู้ขับบังคับทิศทางของรถได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นหรืออีกนัยหนึ่งให้การขับขี่เป็นไปในแบบสปอร์ตมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อใช้ความเร็วต่ำหรือในเวลานำรถเข้าจอด เทคโนโลยี่ใหม่จะประสานการทำงานกับระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ปรับน้ำหนักตามอัตราความเร็วรถเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้มากขึ้นทั้งนี้เพราะอัตราทดที่กว้างช่วยลดแรงที่กระทำต่อระบบบังคับเลี้ยวอีกด้วย
นอกจากนี้ใน SL-Class ใหม่ยังมีการนำเทคโนโลยี่มาใช้กับระบบแชสสีย์อย่างเหมาะสม ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบโฟร์-ลิ้งค์ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ มัลติ-ลิ้งค์
ใน SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่รุ่น SL 350 ยางที่ติดตั้งมาจากโรงงานเป็นยางหน้ากว้างขนาด 255/45 R 17 พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
เครื่องยนต์ 6 สูบรุ่นใหม่ให้สมรรถนะแบบสปอร์ตที่ดุดัน เร้าใจ
สำหรับ SL 350 วิศวกรของเมอร์เซเดสได้พัฒนาเครื่องยนต์ 6 สูบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้มีสมรรถนะในแบบสปอร์ตมากขึ้นให้การตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันทีที่มีแรงกดเพิ่มขึ้นบนแป้นเหยียบคันเร่งและสามารถทำรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 7,200 รอบต่อนาทีเพื่อให้มั่นใจว่ากำลังสำรองที่มีอยู่สามารถเรียกออกมาใช้ได้ในทันทีทันใดสอดคล้องกับสถานการณ์ในการขับขี่ เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ 3.5 ลิตรรุ่นก่อนนี้แล้ว แรงม้าที่ได้จากเครื่องยนต์ 6 สูบใหม่นี้เพิ่มมากขึ้นถึง 16% แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 315 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที ขณะที่แรงบิดเพิ่มขึ้น 10 นิวตันเมตรเป็นแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 — 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของ SL 350 ใหม่ทำได้ที่ 6.2 วินาทีดีกว่า SL 350 รุ่นก่อนถึง 0.4 วินาที
อย่างไรก็ตามในกรณีนี้พละกำลังสูงเป็นพิเศษนี้ไม่ได้มาโดยที่ต้องสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นแต่อย่างใด ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ SL 350 ใหม่อยู่ที่ 9.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตรขณะที่ในรุ่นก่อนที่มีกำลังแรงม้า 272 แรงม้าความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 0.4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
เสียงที่ดังกังวาลชัดเจนของเครื่องยนต์ V6 ยังเพิ่มบุคลิคความเป็นสปอร์ตคาร์ให้โดดเด่นมากขึ้น เสียงที่ทรงพลังนี้เป็นผลมาจากการทำงานอย่างพิถีพิถันละเอียดอ่อนของทีมซาวด์ดีไซนเนอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในความยอดเยี่ยมนี้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญอีกระบบหนึ่งด้วย โดยการทำงานของระบบส่งกำลังนี้ช่วยให้การปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้ต่ำลงเป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อต้องการอัตราเร่ง ในทางตรงกันข้ามฟังค์ชั่นการทำงานของคลัทช์คู่จะถูกกระตุ้นให้ทำงานระหว่างที่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้ตำลงขณะใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาเช่นเดียวกับให้ที่ให้เสียงคำรามของเครื่องยนต์ในแบบสปอร์ตที่ดุดัน เร้าใจฟังค์ชั่นการทำงานนี้ยังช่วยยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยโดยระบบคลัทช์คู่จะทำงานในระดับเดียวกับความเร็วในการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยงและระบบส่งกำลัง การติดตั้งระบบนี้ช่วยให้ผู้ขับได้ประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้ประสานสอดคล้องกับความเร็วที่ใช้อยู่มากยิ่งขึ้นและยังช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดกับระบบส่งกำลังและเครื่องยนต์อีกด้วย
ความปลอดภัย: ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในทุกสถานการณ์และทุกสภาพอากาศ
เป็นเวลากว่าห้าทศวรรษมาแล้วที่สปอร์ตคาร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นผู้นำในด้านของการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยทั้งในเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุและปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุสำหรับรถยนต์ที่เปิดหลังคาได้ ในทศวรรษที่ 60 SL เป็นสปอร์ตคาร์รุ่นแรกที่มีโครงสร้างตัวถังนิรภัยจากหลักการพื้นฐานคิดค้นโดย B?la Bar?nyi ขณะที่ทศวรรษที่ 70 ก้าวล้ำนำหน้าด้วยการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดเป็นอุปกรณ์มาตรฐานและตามด้วยระบบเบรกป้องกันล้อล๊อค (ABS) และถุงลมนิรภัยในทศวรรษที่ 80 โครงคุ้มกันสำหรับผู้ขับและผู้โดยสาร (roll-over bar) ที่มีการทำงานแบบอัตโนมัติและเบาะนั่งนิรภัยถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในโลกในช่วงต้นทศวรรษ 90 และในปี 2001 นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยอาทิ ถุงลมนิรภัยด้านหน้าแบบ adaptive และถุงลมนิรภัยด้านข้างป้องกันบริเวณไหล่ถึงศีรษะเพิ่มความปลอดภัยให้กับรถยนต์แบบสปอร์ตคาร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์มากยิ่งขึ้น
ความเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยนี้ถูกถ่ายทอดมาสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ของ SL-Class นี้ด้วยเช่นกัน โดยวิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญในส่วนของการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่เวลากลางคืนและในสภาพทัศนวิสัยที่มีหมอกเป็นพิเศษ โดยที่สปอร์ตคาร์เจนเนอเรชั่นใหม่นี้ได้รบการติดตั้งไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนเป็นอุปกรณ์ติดตั้งมาตรฐานซึ่งไฟหน้าแบบใหม่นี้มีกำลังและประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับไฟหน้าแบบ LED นอกจากนี้ยังมีระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ(Intelligent Light System)ที่มีระดับฟังค์ชั่นการทำงานที่แตกต่างกัน 5 ระดับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับแต่ละสถานการณ์ในการขับขี่และสภาพกาลอากาศ ในโหมดการทำงานแบบ country mode และ motorway mode การทำงานของไฟตัดหมอก, ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้งและระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้นซึ่งไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนน้จะปรับการทำงานของระบบไฟส่องสว่างให้แตกต่างกันไปโดยอัตโนมัติ ใน Motorway mode การทำงานของไฟหน้าจะปรับเป็น 2 ขั้นตอนเมื่อความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเกินกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ของผู้ขับมากขึ้นกว่า 60 %
เมื่อระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัยถูกใช้งาน โคมไฟหน้ารถจะปรับตำแหน่งไปตามทิศทางการเลี้ยวของพวงมาลัยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นสภาพเส้นทางในทางโค้งด้านหน้าเป็น 25 เมตร ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้งจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับหมุนพวงมาลัยหรือใช้สัญญาณไฟเลี้ยวด้วยความเร็วต่ำกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความปลอดภัยในการเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วต่ำ, บนพื้นผิวถนนลื่นให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นสภาพด้านข้างของทางโค้งมากขึ้น ความส่องสว่างของไฟตัดหมอกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นช่วยให้ผู้ขับเดินทางสู่จุดหมายที่ต้องการในสภาพทัศนวิสัยที่พื้นผิวถนนปกคลุมด้วยหมอกหนาได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้น ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะที่เป็นอุปกรณ์ติดตั้งพิเศษเพิ่มเติมใน SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่เป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่เพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรไปมาบนท้องถนน
ตกแต่งภายใน : สัมผัสถึงความเป็นสปอร์ตคาร์และความสะดวกสบายที่เป็นสัญลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ภายในห้องโดยสารของ SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ออกแบบได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบระหว่างความเป็นสปอร์ตกับความสะดวกสบาย เบาะนั่งแบบสปอร์ตเต็มตัว, พวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มใหม่และชุดแผงหน้าปัดที่ออกแบบใหม่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเป็นสปอร์ตคาร์พันธุ์แท้ ทุกสิ่งทุกอย่างจัดวางอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ ผู้ขับสามารถอ่านค่าและควบคุมการใช้งานได้อย่างสะดวกง่ายดาย มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่องยนต์ นาฬิกาสไตล์คลาสสิคพร้อมเข็มแสดงค่าที่มีการทำงานที่เที่ยงตรงแม่นยำ
ทันทีที่ระบบจุดระเบิดทำงาน เข็มแสดงการทำงานที่มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่องยนต์สีแดงจะเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ 6 นาฬิกาไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของการทำงานของเครื่องยนต์ก่อนที่จะเคลื่อนตัวกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม อันเป็นสัญญาณที่สื่อถึงผู้ขับขี่ในความพร้อมที่จะ “สตาร์ทเครื่องยนต์“
Infotainment: เทคโนโลยี่มัลติมีเดียใหม่ล่าสุดติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง
SL-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดยังมีความก้าวหน้าในด้านของการให้ข้อมูลข่าวสาร, เอ็นเตอร์เทนเม้นท์และการติดต่อสื่อสาร โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ปรับปรุงระบบ COMAND ให้ก้าวหน้ามากขึ้นพร้อมทั้งฟังค์ชั่นการทำงานที่หลากหลายมากขึ้นเป็นผลให้เกิดระบบ information ที่ยอดเยี่ยม อุปกรณ์มัลติมีเดียประกอบด้วยวิทยุติดรถยนต์ที่มีตัวปรับเสียง 2 ตัวพร้อมตัวควบคุมระบบโทรศัพท์, เครื่องเล่น CD/DVDและช่องสำหรับเก็บ SD เมมโมรี่การ์ด สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปได้แก่ตัวรับ Bluetooth ซึ่งเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่กับระบบแฮนด์-ฟรี, จอสีขนาด 6.5 นิ้ว
ระบบ COMAND APS มีฟังค์ชั่นการทำงานแบบหลากหลาย สามารถเก็บและบันทึก CD/DVD ได้ถึง 6 แผ่นและบันทีกเพลงต่าง ๆ แบบ MP3 ได้ถึง 1,000 เพลงด้วย ชุด COMAND APS ยังประกอบด้วยเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดของระบบ LINGUATRONIC ระบบควบคุมการทำงานด้วยเสียงซึ่งจะควบคุมการทำงานของระบบโทรศัพท์และระบบเครื่องเสียงโดยการสั่งให้ระบบทำงานผู้ขับเพียงแต่พูดออกมาเป็นคำพูดไม่ว่าจะเป็นชื่อ สถานีวิทยุที่ต้องการจะฟังหรือชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกเอาไว้