"บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต หรือ STECH" หนึ่งในผู้นำธุรกิจคอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ แย้มสตอรี่ครึ่งปีหลัง 2565 เติบโตดี หนุนเป้าทั้งปีรายได้โต 25-30% ตามที่วางไว้ รับงานก่อสร้างฟื้นสู่สภาวะปกติ กำลังการผลิตเพิ่ม ขณะที่ ปัจจุบันตุน Backlog แน่นกว่า 1,100 ลบ. พร้อมลุยประมูลงานเมกะโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเปิดประมูลในช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมเฉียด 3,000 ลบ.
นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ จากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ราว 1,100 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ในปีนี้เกือบทั้งหมด แบ่งเป็นงานขายผลิตภัณฑ์จากคอนกรีตและบริการติดตั้ง จำนวน 1,000 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 155 kV จำนวน 100 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/2565 มีลุ้นประมูลงานใหญ่ตามแผน และสัญญาณงานภาครัฐบาลที่เร่งเปิดประมูลงานเมกะโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อเชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลก ทำให้ความต้องการคอนกรีตอัดแรงเติบโตในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ดี จากปัจจัยฤดูกาลซึ่งปีนี้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ทำให้กระทบงานที่กำลังเดินหน้าอยู่ในไตรมาส 3/2565 อยู่บ้าง และมองว่าในไตรมาส 4/2565 จะเป็นช่วงเร่งส่งมอบงานของปี สนับสนุนเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตจากปีก่อน 25-30% ตามที่วางไว้ หลังจากความสำเร็จของผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% กำไรสุทธิอยู่ที่ 47.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565) มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,182 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 70.36 ล้านบาท
โดยในครึ่งหลังของปี 2565 บริษัทฯ มีแผนการเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลที่กำลังจะเปิดการประมูล มูลค่ารวมกว่า 2,990 ล้านบาท อาทิ โครงการรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด หนองพอก, โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, โครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ, เสาเข็มงานก่อสร้างสายส่งแรงสูง 500kV ท่าตะโก-สามโคก (จาก กม.92-สามโคก) และ โครงการรถไฟความเร็วสูง สัญญาที่ 4-7 สระบุรี-แก่งคอย ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี รวมทั้ง งานอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน งานโครงการคลังสินค้า โรงงาน และ ซุปเปอร์สโตร์ ซึ่งมองว่างานส่วนใหญ่ที่ถูกชะลอจากสถานการณ์โควิด-19 จะเริ่มกลับมาเดินหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทเติบโตขึ้น
ด้าน นายเจษฎ์กรณ์ มงคลศรีสวัสดิ กรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและขาย บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH กล่าวเพิ่มเติมว่า STECH เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดคอนกรีตอัดแรง จุดแข็งคือมีโรงงาน 10 แห่ง กระจายอยู่ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญของประเทศ พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าในเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ล่าสุดบริษัทฯ ประกาศข่าวดีเปิดแท่นผลิต 5 เพื่อขยายกำลังการผลิต โรงงานดอนพุด จังหวัดสระบุรี โดยใช้เงินจากการระดมทุนไอพีโอ นับเป็นอีกกำลังเสริมทัพในการเข้ารับงานในโซนภาคกลาง รวมถึงโปรเจ็กต์ EEC สนับสนุนให้ปัจจุบัน STECH มีกำลังการผลิตคอนกรีตอัดแรงรวมอยู่ที่ประมาณ 430,000 คิวต่อปี หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 30% เป็นโอกาสการเติบโตในอนาคต
ทางด้านความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตลวดเหล็ก ซึ่งมีมูลค่าโครงการราว 320 ล้านบาท ที่ดำเนินการผ่านบริษัทย่อยของ STECH คือ บริษัท สยามสตีลไวร์ จำกัด ประเภทธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายลวดเหล็ก ปัจจุบันได้มีการออกแบบโรงงาน และสั่งเครื่องจักรที่ทันสมัยจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่รักษาสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเริ่มการรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 ซึ่งสินค้าใหม่ราว 50% จะใช้ในงานของบริษัท และที่เหลือดำเนินการขายให้กับลูกค้าส่วนต่างๆ อีกทางหนึ่ง เพื่อเข้าสู่การสร้าง New S-Curve ในธุรกิจใหม่ และการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าลวดนับเป็นประมาณ 20-30% ของต้นทุนการผลิต และจะกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต สร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น