TEGH เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก เปิดตลาดพุ่งเหนือจอง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ฟากเอ็มดี"สินีนุช โกกนุทาภรณ์" ระบุเดินหน้าขยายกำลังการผลิตทุกธุรกิจ ปักธงรายได้ปี 2569 แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงินมือทองจาก บล.กสิกรไทยและบล.ทรีนีตี้ มั่นใจ TEGH จะเป็นหุ้น Sustainable Stock, Growth Stock และ Dividend Stock สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ชูจุดแข็งกลุ่มลูกค้ายางพรีเมี่ยมแบรนด์ และธุรกิจพลังงานทดแทนและการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์มาร์จิ้นสูง และใช้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ทำให้มีศักยภาพอนาคตเติบโตก้าวกระโดด
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ("บริษัทฯ") หรือ TEGH เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 เป็นวันแรก ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปและสถาบันอย่างดีเยี่ยม โดยเปิดซื้อขายที่ 4.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 3.75% เปรียบเทียบจากราคาไอพีโอที่ 4.80 บาท/หุ้น
นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่า ราคาหุ้น TEGH ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งธุรกิจยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์มดิบ และพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มยังคงสดใส และในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะถือเป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการในสินค้ายางธรรมชาติที่เป็น Premium Quality ของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯยังมีธุรกิจพลังงานทดแทนและการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นที่ดี ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเป็นองค์กรที่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ ตามมาตรฐาน Eco Factory และ Green Industry และสินค้ายางธรรมชาติของกลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับการรับรอง Carbon Footprint เป็น Low Carbon Product เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยิ่งเป็นปัจจัยตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืนและอย่างแท้จริง
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้การต้อนรับบริษัทฯ อย่างอบอุ่น ทีมงานและผู้บริหารของบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยในปีนี้บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตยางแท่งเป็นประมาณ 328,000 ตัน ซึ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว และจะขยายเป็น 416,000 ตันในปีหน้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศ สำหรับธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกร้อยละ 42 และธุรกิจพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ บริษัทฯ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ จาก 23 ล้านลูกบาศก์เมตร ณ ปี 2565 เป็น 67 ล้านลูกบาศก์เมตร ณ ปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 191 และเพิ่มกำลังการผลิตบ่อหมักกากอินทรีย์ประเภทของแข็ง (SOW) เพื่อรองรับเสียที่ได้จากการผลิตยางแท่ง
โดยในปีนี้บริษัทฯ วางแผน COD โครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 ภายในไตรมาส 4/2565 ซึ่งเดิมบริษัทฯใช้ก๊าซชีวภาพทดแทน LPG ในส่วนของธุรกิจยางพาราได้ถึงร้อยละ 89 และใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนใช้แทนไฟฟ้าจากภายนอกได้ร้อยละ 51 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า การเข้าเทรดในวันแรกของ TEGH ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง โดยเม็ดเงินที่ได้จากการเสนอขายไอพีโอในครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไร สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต นอกจากนี้ เงินจากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถานบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เชื่อว่า TEGH จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Sustainable Stock, Growth Stock และ Dividend Stock และใช้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยของเสียให้เป็นศูนย์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้ในระยะยาว
บริษัทฯ มีเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิต Sustainable Material เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของกลุ่มลูกค้าและขยายกำลังการผลิตยางแท่งให้ได้ประมาณ 420,000 ตันเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศ ตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 และเป็นองค์กรที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลในทุกกระบวนการ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทฯ ได้เป็น Eco Product และมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral อย่างแท้จริง