ธนาคารทิสโก้แนะจังหวะดีซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงของสหรัฐฯ เพิ่มโอกาสสองต่อ จาก 1. การล็อคยิลด์สูงในรอบ 14 ปี ประมาณ 4% และ 2. มีโอกาสสร้างกำไรในช่วงที่ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น รับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงปลายปี 2566 เพื่อสู้สภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 2 ปี ของสหรัฐฯ ได้พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 4.3% สูงสุดตั้งแต่ปี 2551 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี สหรัฐฯ ก็พุ่งขึ้นมาแตะระดับ 4% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ในระดับประมาณ 1% เท่านั้น
อีกทั้ง เมื่อพิจารณาจากผลการประชุม Fed เมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่า Bond Yield สหรัฐฯ ที่ระดับ 4% ได้สะท้อนความคาดหวังของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไปมากแล้ว นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 Fed ก็จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2566 จึงมีโอกาสสูงที่ Bond Yield ระยะกลางถึงระยะยาวของสหรัฐฯ จะปรับลดลงไปด้วย ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรปรับตัวขึ้นตาม
ดังนั้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำให้ลูกค้าทยอยลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) สูงของสหรัฐฯ เพื่อรับโอกาสสองต่อ ต่อที่ 1 คือ จากยิลด์ที่อยู่ในระดับสูงถึง 4% และต่อที่ 2 คือ โอกาสสร้างกำไรจากราคาพันธบัตรที่ปรับเพิ่มขึ้น
"การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงตราสารหนี้ที่มี Credit Rating สูง อายุปานกลางถึงยาว และมีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุประมาณ 4% มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงรวมถึงลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยได้" นายณัฐกฤติกล่าว