ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง "บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม" หรือ KLINIQ ขายไอพีโอจำนวน 60 ล้านหุ้น เตรียมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ระดมทุนรองรับแผนเดินหน้าขยายสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 6-10 สาขา/ปี และพัฒนาระบบไอทีและระบบข้อมูลลูกค้า เจาะตลาดความงาม สอดรับเมกะเทรนด์ หนุนผลงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าโตก้าวกระโดด
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ - ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DAOL) ในฐานะปรึกษาทางการเงิน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนของ KLINIQ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย KLINIQ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น ให้แก่ประชาชน (Initial Public Offering) หรือคิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม : บริการ
บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านเลเซอร์ผิวหนัง การยกกระชับและปรับรูปหน้า การดูแลรูปร่างและกระชับสัดส่วน ศัลยกรรมตกแต่ง รวมถึงการดูแลป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness & Regenerative Medicine) ที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ภายใต้แบรนด์ "เดอะคลีนิกค์" (THE KLINIQUE) ซึ่งให้การดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและศัลยกรรมตกแต่ง ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางการแพทย์และตัวยาที่ได้มาตรฐานสหรัฐอเมริกา ด้วยการอัพเดทนำนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยและปลอดภัยมาใช้ในการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงมีโปรแกรมการรักษาที่หลากหลาย เพื่อให้ครอบคลุมทุกความกังวลของลูกค้าและตอบโจทย์ทุกความต้องการได้เป็นอย่างดี
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) กล่าวว่า แผนการเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้ บริษัทฯเตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนในการขยายกิจการ โดยบริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาใหม่เพิ่มเติมประมาณ 6-10 สาขา/ปี ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมทั้งจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการแพทย์ ขยายกิจการศูนย์ศัลยกรรม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเป้าหมายยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของภาพลักษณ์ และ สุขภาพ สอดคล้องเมกะเทรนด์ และพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ผลักดันผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขาทั่วประเทศไทย แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรมจำนวน 35 สาขา ศูนย์ศัลยกรรมจำนวน 1 สาขา และร้านทำเล็บจำนวน 3 สาขา มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในช่วงอายุระหว่าง 20-55 ปี ด้วยโปรแกรมการรักษาที่หลากหลายอันเกิดจากการผสมผสานนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย กับความเชี่ยวชาญในการให้การรักษา รวมถึงงานบริการที่ได้มาตรฐาน จึงตอบโจทย์ทุกความต้องการ และสามารถสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุดปี 2564 บริษัท มีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 949.93 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 129.25 ล้านบาท และล่าสุดงวด 6 เดือน 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 263.13 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.22 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2564 ได้รับผลกระทบจากมาตรการการสั่งปิดพื้นที่ (Lockdown) ส่งผลให้สาขาบางสาขาต้องหยุดให้บริการชั่วคราว แต่ในไตรมาสแรกปีนี้มาตรการการควบคุมของภาครัฐผ่อนคลายลง ทำให้ลูกค้าสามารถมารับบริการได้เป็นปกติในทุกสาขา