บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) ส่งสัญญาณธุรกิจและผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีนี้เติบโตไม่ยั้ง อานิสงส์เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ Health Care จำนวนผู้รับบริการ IPD และ OPD เพิ่มขึ้น รวมถึงบริการทางการแพทย์ทั่วไปคึกคัก ขณะที่โรงพยาบาลคูนช่วยเสริมทัพส่งท้ายปี ฟาก บล.กรุงศรี เชียร์ "ซื้อ" ชี้เป้า 9.20 บาทต่อหุ้น คาดกำไรปี 66 อยู่ที่ 227 ล้านบาท หรือเติบโต 9% และปี 67 เพิ่มเป็น 268 ล้านบาท หรือเติบโต 18% ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด จากแรงหนุนการปลดล็อคอุปสงค์คงค้างจากศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) และรายได้จากผู้ป่วยกลุ่มนอกเหนือจากการรักษาโควิด(Non-Covd) ฟื้นตัว
นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการและผู้อำนวยการโรงพยาบาล บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH) ผู้ประกอบธุรกิจสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้เชื่อว่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ Health Care เพราะเปลี่ยนฤดูกาลทำให้จำนวนผู้ป่วยใน (IPD) ผู้ป่วยนอก (OPD) เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งบรรยากาศการกลับเข้ามาใช้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) ของลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเปิดให้บริการโรงพยาบาลคูน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ช่วยสนับสนุนให้การเติบโตรายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การระบาดของโควิด-19 จะลดลง และส่งผลให้รายได้จากกลุ่มคนไข้โควิดลดลง แต่ EKH ยังมีรายได้จากผู้ป่วยกลุ่มนอกเหนือจากการรักษาโควิด (Non-Covid) ที่สูงขึ้น
"จากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทำให้เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงสดใส ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีต่อภาพรวมธุรกิจ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้รายได้ และกำไรปรับตัว
เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"นายแพทย์อำนาจกล่าวในที่สุด
ด้านบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรปี 2566 ของ EKH จะอยู่ที่ 227 ล้านบาท หรือโต 9% และปี 2567 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 268 ล้านบาท หรือโต 18% ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด โดยได้รับอานิสงส์จากการปลดล็อคอุปสงค์คงค้างจากศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) และรายได้จาก Non-Covid ฟื้นตัวและปรับราคาขึ้นอีก 3-5%
สำหรับรายได้จาก IVF คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดดเป็น 150 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68% ในปี 2566 และ 200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 90% ในปี 2567 ของรายได้ IVF ก่อนโควิด จากปี 2563-2564 ที่มีรายได้ 38-42 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรจำนวน 30 ล้านบาทในปี 2566 และ 40 ล้านบาทในปี 2567 จากที่ขาดทุน จำนวน 14 -24 ล้านบาท ในปี 2563-2564 เนื่องจากการปลดล็อคอุปสงค์คงค้างของลูกค้าจีน (นโยบายให้มีบุตรได้มากกว่า 2 คนเริ่มเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2564) ซึ่งคาดว่าจีนจะเปิดประเทศหลังประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์วันที่ 16 ต.ค.นี้ โดยรายได้จากลูกค้าจีนคิดเป็น 90% ของรายได้ IVF ก่อนโควิด
ส่วนรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากโควิด-19 คาดว่าจะฟื้นตัว โดยเฉพาะศูนย์สูตินารีเวช และศูนย์กุมารเวช (EKH มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเทียบกับรพ.เอกชนในสมุทรสาคร) และศูนย์อุบัติเหตุ ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ารายได้ Non-Covid จะเพิ่มขึ้น 16% เป็น 970 ล้านบาทในปี 2566 และ 12% เป็น 1,100 ล้านบาท ในปี 2567 จากจำนวนผู้ป่วยโรคระบาดตามฤดูกาลและอุบัติเหตุในโรงงานสูงขึ้น ซึ่ง EKH ยังมีแหล่งรายได้เพิ่มจากการตรวจ ATK ผู้ป่วยที่มีไข้และขยายแผนกไตเทียม
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ จึงให้ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท จาก 29 เท่า PER (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย) และมีอัพไซด์จากการจดทะเบียนในตลาด mai ของ KLINIQ อีก 0.3-0.4 บาท/หุ้น (สมมติฐาน กำไร 184-202 ล้านบาท ,EPS 0.84-0.92 บาท,PER 16-22 เท่า EKH ถือหุ้น 16 ล้านหุ้น @ 10.3 บาทต่อหุ้น) EKH ให้ผลตอบแทนวม 16% แนะนำ ซื้อ