สถานการณ์ภาวะโลกรวนขณะนี้ ทำให้สภาพภูมิอากาศทั่วโลกเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง ความแปรปรวนของสภาพอากาศ อาทิ แอฟริกาเผชิญกับภัยน้ำท่วมใหญ่จากฝนตกหนักในรอบ 30 ปี ส่งผลให้เมืองหลวงเอ็นจาเมนากลายเป็นเมืองบาดาลในพริบตา เกาหลีใต้เผชิญกับพายุไต้ฝุ่นหินหนามหน่อ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและลมกรรโชกแรงจนไฟฟ้าดับ ดินหินถล่ม ถนนขาด จนรัฐบาลต้องประกาศอพยพคนในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้ง เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงโซลที่ทำให้ภาพน้ำท่วมสถานีรถไฟใต้ดินกลายเป็นข่าวช็อคโลก ส่วนจีนประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2017 หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ที่ประสบอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ฝุ่น PM2.5 เป็นประจำทุกฤดูกาล ทุกภัยพิบัติ นอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ละเหตุการณ์มักมีผู้ป่วยเกิดขึ้นพร้อมกันจำนวนมากที่ต้องการบริการทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของระบบสาธารณาสุขในประเทศนั้นๆ
เปิดบทเรียนวิกฤตสุขภาพจากสถานการณ์โควิด-19
หากมองย้อนกลับไปในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ในปี 2564 ที่ผ่านมา ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของระบบสาธารณสุขทุกประเทศต่อการรับมือวิกฤตสุขภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่เราเห็นปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนวัคซีน อินเดียขาดแคลนถังออกซิเจนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไวรัสโควิด-19 ลงปอด ชุด PPE และหน้ากากอนามัย ผลิตไม่ทันและมีไม่เพียงต่อความต้องการในตลาด ส่งผลให้สินค้าขาดตลาด และมีราคาสูงเกินความเป็นจริง เมื่อเกิดวิกฤตสุขภาพขึ้น ทุกประเทศต่างสำรองและจำกัดการส่งออกเพื่อสงวนไว้ให้ประชาชนของตนใช้ภายในประเทศ จนเกิดคำว่า "ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้" หากประเทศใดมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ และมีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง จะนำพาให้ประชาชนประเทศนั้นจะอยู่รอด และเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด
ทุกวิกฤต คือ โอกาส
ในวิกฤตสุขภาพครั้งนั้น มีผู้ป่วยโควิดระดับสีเหลืองที่มีภาวการณ์หายใจบกพร่อง และปอดอักเสบ ที่ไม่สามารถหายใจได้เองได้ตามปกติจำนวนมากจนเกินรับมือไหว หากผู้ป่วยไม่มีเครื่องช่วยหายใจ อาจทำให้อาการหนักขึ้นจนเข้าสู่การเป็นผู้ป่วยระดับสีแดงและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งประเทศไทยนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ ทั้งจากสหรัฐอเมริกา เยอรมัน จีน และ ญี่ปุ่น มาโดยตลอด ในสถานการณ์ที่ปัญหาความขาดแคลนเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จึงร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นำองค์ความรู้หลากหลายสาขาวิชา ผลิตเครื่องจ่ายออกซิเจน Hi-Flow อย่างเร่งด่วน เป็นเครื่องจ่ายออกซิเจนอัตราการไหลสูง ซึ่งผลิตโดยคนไทยทุกขั้นตอน ทำให้มีราคาถูกกว่าการนำเข้าถึง 3-4 เท่า มีระบบมอนิเตอร์ทางไกลช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ในการเข้าไปดูแลคนไข้ นอกจากนี้ ยังผลิตเครื่องผลิตออกซิเจน ลดปัญหาการขาดแคลนถังออกซิเจน นำมาช่วยเหลือผู้ป่วยในช่วงเกิดวิกฤตสุขภาพได้อย่างทันท่วงที ซึ่งหากไม่มีวิกฤตสุขภาพในครั้งนี้ คนไทยอาจไม่รู้เลยว่า คนไทยมีศักยภาพมากพอที่จะผลิตเครื่องมือแพทย์ได้เอง สามารถลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ลดการใช้งบประมาณภาครัฐได้อย่างมหาศาล และยังเพิ่มการเข้าถึงการบริการทางสาธารณสุขของคนไทยได้อย่างเท่าเทียม
ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธาน มูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ ได้รับเงินบริจาคจากพี่น้องคนไทยเพื่อผลิตและแจกจ่ายเครื่องจ่ายออกซิเจน Hi-Flow และเครื่องผลิตออกซิเจน ไปยังโรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศไปแล้วกว่า 1,000 เครื่องทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยรอด" จากเหตุการณ์วิกฤตสุขภาพในครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของคนไทยที่ต้องลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ ผลิตนวัตกรรมเทคโนโลยี เครื่องมือแพทย์ของตนเองเพื่อใช้ภายในประเทศ และเพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้แข็งแกร่ง และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่จุดประกายการสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารขึ้น เพื่อให้เป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย มุ่งเน้นพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยตนเอง โดยผสานองค์ความรู้ของหลากหลายวิชา เพื่อรองรับการดูแลรักษาผู้ป่วยในทุกบริบท ลดความเหลื่อมล้ำทางการรักษาของคนไทยทุกคน และพร้อมรับมือทุกวิกฤตสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ผู้ที่สนใจสนับสนุนการศึกษาวิจัยนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์โดยคนไทยเพื่อคนไทย สามารถร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ หมายเลขบัญชี 693-0-32393-4 หากประสงค์ขอรับใบเสร็จรับเงินโปรดแจ้งและส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่ไลน์ไอดี @kmitlhospital หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 092-454-8160 , 092-548-2640 และ 02-329-8000 ต่อ 3146 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร พร้อมความเคลื่อนไหวกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาลได้ที่เว็บไซต์ www.kmchf-pp.org และเฟสบุค https://www.facebook.com/KMCHospitalbyKMITL