บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม (ITNS) ตอกย้ำหุ้นไอพีโอน้องใหม่กระแสแรง! เปิดเทรดวันแรกราคาทะยานเหนือจอง 34.96% สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ฟากซีอีโอ "สมชาย อ่วมกระทุ่ม" โชว์จุดแข็งแนวโน้มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโตระยะยาว เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นของทุกองค์กร แถมมีพันธมิตรแบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมตุนงานในมือมูลค่า 523 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 369.91 ล้านบาท เดินหน้าลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องสร้างการเติบโตรอบด้าน เร่งขยายธุรกิจให้เช่าขยายฐาน Recurring Income และเป็นเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนธุรกิจหลักจำหน่าย ออกแบบติดตั้งอุปกรณ์และงานซ่อมบำรุง รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม จำกัด (มหาชน) (ITNS) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 เป็นวันแรก ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปอย่างดีเยี่ยม โดยเปิดซื้อขายที่ 5.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.36 บาท หรือ 34.96% เปรียบเทียบจากราคาไอพีโอที่ 3.89 บาท/หุ้น
นายสมชาย อ่วมกระทุ่ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม จำกัด (มหาชน) (ITNS) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐาน โดยบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มีขนาดใหญ่มูลค่าหลายแสนล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบเฉพาะกลุ่มคู่ค้าระดับ Gold Certified Partner ของ Cisco มีรายได้รวมในปี 2564 ทั้งสิ้นกว่า 43,245 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคตเนื่องจากอินเตอร์เน็ตหรือระบบเครือข่ายถือเป็นสิ่งจำเป็นของทุกองค์กรในปัจจุบัน
ITNS เป็นคู่ค้าระดับ Gold Certified Partner ของ Cisco บริษัทขนาดใหญ่ที่ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เครือข่ายและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมกันนี้บริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับแบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกอื่นๆ อาทิเช่น Cisco, Fortinet, LENOVO, DELL EMC, CHECK POINT, JUNIPER Networks, VEEAM, VMWARE, Palo Alto Networks, Hewlett Packard Enterprise เป็นต้น
อีกทั้งในปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 523 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 369.91 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างผลงานทั้งรายได้และกำไรในปี 2565 เติบโตได้อย่างโดดเด่น และสร้างสถิติสูงสุดใหม่ นอกจากนี้ยังมีงานโครงการอีกจำนวนมากที่บริษัทฯ จะเข้าร่วมประมูลในอนาคต
"ผมขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้การตอบรับหุ้น ITNS เป็นอย่างดี ผมพร้อมทั้งทีมงานทำงานอยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 20 ปี และมีความเชื่อมั่นในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างยิ่งว่ามีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และถือว่าเป็นเส้นทางที่ ITNS มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญพิเศษทั้งในธุรกิจจำหน่ายและออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธุรกิจให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ และธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ โดยหลังเข้าระดมทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจให้มีศักยภาพการเติบโตต่อไปข้างหน้า และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปได้ในอนาคต" นายสมชาย กล่าวในที่สุด
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ITNS กล่าวว่าการเข้าเทรดในวันแรกได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตตามอุตสาหกรรม มีอนาคตที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มของโลกในปัจจุบันที่มีความเกี่ยวข้องกับการสื่อสารโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้มากยิ่งขึ้น
โดยเม็ดเงินที่ได้จากการเสนอขายไอพีโอในครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทฯ มูลค่า 40 ล้านบาท เป็นไปตามนโยบายบริษัทฯ ในการมุ่งสร้างการเติบโตรอบด้าน และใช้ในการขยายธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์มูลค่า 60 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทฯ ได้มากกว่าธุรกิจดั้งเดิมของ SI ทั่วไป อีกทั้งยังเป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) และผู้ประกอบการเหล่านี้ยังมีเป็นจำนวนมาก สุดท้ายใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ มูลค่า 154 ล้านบาท ไปกับกลุ่มธุรกิจหลักคือการจำหน่ายและออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและงานให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตขึ้นไปและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไป
"เรามองว่า ITNS เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่นคง มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว มีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำอยู่ที่ 0.56 เท่า ขณะที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5-19.4% และ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.0% ขณะเดียวกันมีตัวเลข Backlog ชัดเจน ประกอบกับมีงานโครงการอีกจำนวนมากที่จะเข้าร่วมประมูลในอนาคต อีกทั้งมีการขยายทีมพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายงานโครงการในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิอีกด้วย" นายรัฐชัย กล่าวในที่สุด