ดร.มาร์ตินส์ ปลุกตำนานอมตะ 48 ปี จัดแคมเปญพิเศษ พร้อมเผยโฉมซัมเมอร์คอลเลคชั่น

ข่าวทั่วไป Wednesday April 2, 2008 14:19 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 เม.ย.--มิกซ์ แอนด์ แมทซ์ คอมมิวนิเคชั่นส์
เตรียมโปรโมชั่นพิเศษกระตุ้นตลาดในช่วงซัมเมอร์ พร้อมเผยโฉม 10 รุ่นล่าสุด ในสไตล์ลำลอง และคลาสสิก ชี้จุดเด่น 3 ด้านของ ดร.มาร์ตินส์ ทั้ง ทนทาน สวมใส่สบาย และทันสมัยตลอดกาล ยังเป็นจุดขายและครองใจผู้บริโภคมาตลอด 48 ปี
นางสุดา ทรงอุดมวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โอ ที ที ฟุตแวร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย รองเท้า ดร.มาร์ตินส์ ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว เปิดเผยว่า ดร.มาร์ตินส์ ได้เตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อร่วมฉลองครบรอบตำนานอมตะ 48 ปี ของ ดร.มาร์ตินส์ ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 1960 โดยในปีนี้สำหรับประเทศไทย ก็ได้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนโดยการมอบถุงผ้าแคนวาสเนื้อดี ดีไซน์เท่ (DM’S CANVAS TOTE BAG) สำหรับผู้ที่ซื้อรองเท้า ดร.มาร์ตินส์ ทุกคู่ นอกจากนั้นเพื่อเป็นการร่วมรำลึกถึง ดร.มาร์ตินส์ 1460 ซึ่งถือเป็นบู๊ตอมตะที่ยังครองใจคนทั่วโลก ดร.มาร์ตินส์ จึงได้ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลทุกสาขาที่วางจำหน่าย ดร.มาร์ตินส์ รวมทั้ง Zen มอบส่วนลดพิเศษ 25% สำหรับผู้ที่ซื้อบู๊ต ดร.มาร์ตินส์ 1460 โดยทั้ง 2 แคมเปญนี้จะเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน และ สิ้นสุดใน วันที่ 31 พฤษภาคมศกนี้
นอกจากนั้น นางสุดา ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงหน้าร้อนนี้ ดร.มาร์ตินส์ ได้นำคอลเลคชั่นใหม่จำนวน 10 รุ่น มาต้อนรับซัมเมอร์โดยเฉพาะ โดยเน้นในสไตล์ลำลองจำนวน 6 รุ่น และสไตล์คลาสสิกจำนวน 4 รุ่น
“จากการสำรวจในปีที่ผ่านมาเราพบว่า ในช่วงหน้าร้อนสไตล์ที่ขายดีที่สุดยังคงเป็นสไตล์ลำลอง เนื่องจากเป็นฤดูท่องเที่ยวและพักผ่อนของคนไทย นอกจากนั้นด้วยจุดเด่นของ ดร.มาร์ตินส์ ทั้งในเรื่องของความทนทาน การออกแบบตัดเย็บที่เน้นในเรื่องของสุขภาพเท้า รวมถึงพื้นรองเท้าซึ่งผลิตจากวัสดุคุณภาพที่ช่วยในเรื่องของการยึดเกาะพื้น ทำให้ ดร.มาร์ตินส์ เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ในวันพักผ่อนที่สามารถไปได้ในทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็น ทะเล หรือภูเขา เหมือนกับนิยามของ ดร.มาร์ตินส์ ที่ว่า They’ll get you in anywhere นั้นเอง”
โดยในปีนี้ได้เพิ่มแบบที่หลากหลายให้เลือกสรรกันมากขึ้น สไตล์สำลองจำนวน 6 รุ่น ได้แก่ Dr.Martens รุ่น 8F19 JUDE BENTON 6 EYES ,รุ่น 8F39 METRO EDDY MULE , รุ่น 8F11 NICK JASON CLOSED TOE SANDAL ,รุ่น 8F29 JOSH LUCIO TOE POST ,รุ่น 8D36 SAXON 4 EYES, และ รุ่น 8D95 ZACK PLAIN TOE SLIP ON.
ส่วนสไตล์คลาสสิกอีก 4 รุ่น ได้แก่ Dr.Martens รุ่น 8D61 NICK PLAIN TOE CHELSEA, รุ่น 1D29 SAXON CHELSEA BOOT ,รุ่น ORIGINAL 939 , รุ่น 8D37 SAXON 4 EYES CHUKKA BOOT
ทั้งนี้โดยทั้ง 10 รุ่นยังคงเน้นคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้ง 3 ด้าน ของ ดร.มาร์ตินส์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ความทนทาน เพราะ ดร.มาร์ตินส์ ใช้วัตถุดิบในการผลิตรองเท้าที่มีคุณภาพ ใช้หนังและผ่านขบวนการฟอกจากโรงงานคุณภาพเยี่ยมจากทั่วโลก สวมใส่สบาย ด้วยเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพเท้าอย่าง Air Cushioned ที่เป็นเทคนิคการใช้ความร้อนหลอมเส้นขอบหนังให้ประกบพื้นรองเท้ากับฐานรองเท้า โดยให้มีอากาศอยู่ภายใน เพื่อช่วยพยุงและรองรับน้ำหนักของเท้า ทำให้เกิดความรู้สึกนุ่มสบายและเด้งได้เวลาเดิน การพัฒนารูปแบบ ดีไซน์ให้มีความทันสมัยตลอดเวลา เช่น มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้กับการออกแบบดีไซน์บู๊ต จาก ดร.มาร์ตินส์ เช่น การใช้ Laser Technique, Air-Brushed Technique, Graffiti Technique ในการทำลวดลายบนหนังก่อนการตัดเย็บ การเลือกใช้วัสดุต่างๆ เช่น มีการใช้ Ribbon แทนเชือกร้อย การเลือกใช้เนื้อผ้า เช่น Canvas หรือ Denim แม้แต่หนังที่ใช้ทำมีตั้งแต่ หนังเรียบ หนังแก้ว หนังเมทาลิก หนังที่มีลวดลายในตัว หนังผสมกับผ้า เป็นต้น
เกี่ยวกับตำนานอมตะ 48 ปี ของ ดร.มาร์ตินส์
ตำนาน Dr. Martens เริ่มต้นจากเมืองซีฮอปท์ซึ่งอยู่ใกล้นครมิวนิค ประเทศเยอรมนี เมื่อปี 1945 ขณะที่ ดอกเตอร์เคลาส์ มาร์ตินส์ (Dr. Klaus Maertens) ได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บที่เท้า ขณะเล่นสกี ณ เทือกเขาแอลพส์ (the Bavarian Alps) ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยพยุง และรองรับน้ำหนักที่ต้องทิ้งผ่านมายังส้นเท้า ขณะเหยียบพื้น หรือขณะเดิน เขาจึงออกแบบพื้นรองเท้าที่สามารถรับช่วงสรีระของเท้า เสมือนเป็นเบาะที่อัดอากาศอยู่ด้านใน (Air Cushioned) โดยการใช้แผ่นยางเก่าๆ มาประกบชิดกันระหว่างชั้นให้มีช่องดักอากาศอยู่ภายใน ทำให้สวมใส่สบายทั้งยังเป็นการปฐมพยาบาลขั้นต้นสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บที่เท้าอีกด้วย
เขาได้โชว์ต้นแบบพื้นรองเท้าอันนี้ให้กับเพื่อนนักประดิษฐ์ นั่นคือ ดอกเตอร์ เฮอร์เบิรต์ ฟังค์ (Dr. Herbert Funck ) เพื่อพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจร่วมกันพัฒนา และผลิตรองเท้าประเภทนี้ต่อไป
ต่อมาในปี 1959 ดอกเตอร์ เฮอร์เบิรต์ ฟังค์ (Dr. Herbert Funck ) และ ดอกเตอร์ เคลาส์ มาร์ตินส์ (Dr. Klaus Maertens) ตัดสินใจที่จะหาบริษัทผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรองเท้าของพวกเขา พร้อมทั้งตั้งชื่อของ แบรนด์ ว่า Dr. Martens ณ จุดเริ่มต้น โรงงานหลายแห่งได้ปฏิเสธ แต่ในที่สุด กลุ่มบริษัท อาร์ กริกส์ ( The R.Griggs Group ) ตั้งอยู่ที่ ตำบล วอลลาสตัน ( Wollaston ) ประเทศอังกฤษ ได้รับผลิตผลงานของพวกเขา โดยผลิตรองเท้าบู๊ต คู่แรก ที่มีวิวัฒนาการพื้นรองเท้าแบบ Air Cushioned
ดังนั้นในวันที่ 1 เมษายน 1960 จึงเป็นวันถือกำเนิดของรองเท้าบู๊ต Dr.Martens 1460 และนับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ Dr. Martens และถือเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงถึงความเป็นชาวสังคมอังกฤษ ด้วยรูปลักษณ์ง่าย ๆ บวกกับคุณภาพที่ทนทานต่อการใช้งานหนัก นับจากนั้นเป็นต้นมา รองเท้า Dr.Martens ก็ได้มีวิวัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว นับจากสังคมกลุ่มคนทำงานหนัก กลุ่มตำรวจ กลุ่มคนทำงานไปรษณีย์ และล่าสุด ได้แพร่หลายสู่กลุ่มวัฒนธรรมของคนหนุ่ม-สาวที่มีเอกลักษณ์และสไตล์ที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง
นับเป็นเวลายาวนานกว่า 48 ปี ความสำเร็จดังกล่าวก็ไม่ได้หยุดยั้งอยู่กับที่ Dr. Martens ยังคงเน้นการพัฒนารูปลักษณ์ผนวกกับนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผสานกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้นำเอาบู๊ตคู่แรก รุ่น 1460 มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาและถือเป็นสัญลักษณ์ของผู้สวมใส่ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอิสระ ความเป็นเอกลักษณ์ และความเป็นตัวตนของตนเอง ตลอดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดร.มาร์ตินส์ ก็ได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคในหลากลายสไตล์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Casual Style และ Smart Style รวมทั้ง Classic Style ที่ยังคงครองใจคนทั้งโลกมาจวบจนถึงปัจจุบัน
สอบถามข้อมูลข่าวเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
ณัฐนันท์ สมาธิ, ณัฐยา สุขทอง บริษัท มิกซ์ แอนด์ แมทซ์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด
โทร 0 2967 7713 — 4 แฟกซ์ 0 2967 7770 มือถือ 086 8254782, 081 4120206
อีเมล์ oum_mandm@yahoo.com , nim_mandm@yahoo.com

แท็ก ตำนาน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ