'โอสถสภา' เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกเติบโตต่อเนื่อง ทำรายได้ 20,833 ล้านบาท สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลเติบโตอย่างโดดเด่น พร้อมส่งแคมเปญฝาเอ็มดันยอดขายส่งท้ายปี ตอกย้ำผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง สถานะการเงินแข็งแกร่งพร้อมรุกสร้างการเติบโตผ่าน M&A
'บมจ.โอสถสภา (OSP)' เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำรายได้จากการขาย 20,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลเติบโตโดดเด่นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมส่งแคมเปญฝาเอ็ม ดันยอดขายส่งท้ายปี หลังสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์เอ็ม-150 กระแสตอบรับเยี่ยม เจาะกลุ่มตลาดเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) คาดว่าสามารถประกาศผลการเจรจากับพันธมิตร 1-2 รายในปีหน้า
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2565) บริษัทฯ สามารถผลักดันรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 20,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,597 ล้านบาท หลังผลงานในไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม-กันยายน 2565) ทำรายได้จากการขาย 6,178 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 244 ล้านบาท โดยกำไรลดลง เนื่องจากผลกระทบจากราคาวัตถุดิบหลักและราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น การอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินจัต และปริมาณการขายและการผลิตที่ลดลงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยสูงขึ้น
โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นผู้นำตลาด ด้วยความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังหลากหลายแบรนด์และครบทุกเซกเม้นต์ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยมีแบรนด์เอ็ม-150 เป็นผู้นำตลาด เช่นเดียวเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์แบรนด์ที่ 'ซีวิท' เป็นผู้นำในตลาด โดยมีส่วนแบ่ง 38.9% สูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมวิตามินซี ขณะที่ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเอ็มเกลือแร่ และคาลพิส แลคโตะมียอดขายที่โดดเด่น
สำหรับในไตรมาส 4 นี้ โอสถสภาพร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ออกแคมเปญชิงโชคใหญ่ "ฝาเอ็มแจกใหญ่ ได้ทั้งแลกได้ทั้งลุ้น" เปิดให้ผู้บริโภคสามารถร่วมสนุกในทุกช่องทาง โดยโปรโมชั่นออฟไลน์ ใช้ฝาเอ็ม-150 เป็นส่วนลดแลกซื้อสินค้าพรีเมียมที่ร้านค้าใกล้บ้านหรือที่รถเอ็ม-150 และโปรโมชั่นออนไลน์ ชิงโชคลุ้นรางวัลทองคำแท่ง มูลค่าสูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมดึง แจ๊ส ชวนชื่น มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ดันยอดขายส่งท้ายปี เสริมกระแสสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์เอ็ม-150 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งเอ็ม-150 หอมน้ำผึ้ง ขวดใหญ่ ในราคา 10 บาท ที่สามารถเจาะตลาดกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังราคาขวดละ 10 บาทได้อย่างรวดเร็ว และ เอ็ม-150 กลิ่นเทอร์ปีน โดดเด่นด้วยกลิ่นหอม ช่วยให้อารมณ์ดี มีพลังฮึดสู้ ที่สามารถทำยอดขายทะลุเป้า 200%
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล มีอัตราการเติบโตถึง 35.4% ในไตรมาส 3 จากความสำเร็จในการทำตลาดและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ และสอดรับกับเทรนด์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ลูกกลิ้งระงับกลิ่นกลายสำหรับผู้หญิง ทำให้แบรนด์เบบี้มายด์ แบรนด์ทเวลฟ์ พลัส และแบรนด์เอ็กซิท ขยายตัวอย่างมากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาด สปป.ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย
"บริษัทดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบกับการส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขันทางการตลาดในทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการและครองใจผู้บริโภคอย่างเหนียวแน่น ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ นอกจากการรักษาการเติบโตของธุรกิจหลักแล้ว บริษัทฯ ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) และคาดว่าจะสามารถประกาศผลการเจรจากับพันธมิตร 1-2 รายในปีหน้า เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ OSP อย่างยั่งยืนอีกด้วย" นางวรรณิภากล่าว
นอกจากนี้ โอสถสภายังได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้รับรางวัล Thailand Kaizen Award 2022 ระดับ Bronze ประเภท Genba Kaizen จากสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการผลิตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย