"สยามเทคนิคคอนกรีต หรือ STECH" หนึ่งในผู้นำธุรกิจคอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ ส่งซิก Q4/65 โค้งสุดท้ายของปีเร่งส่งมอบงาน ขณะที่ บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักต่อเนื่อง หนุน STECH อยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ทั้งงานโครงการและงานขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมมูลค่า 1,140 ล้านบาท เสริมแกร่งแบ็กล็อกจากปัจจุบันอยู่ที่ 650 ล้านบาท ล่าสุดประกาศผลงานงวด 9 เดือนปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,621.01 ลบ. เพิ่มขึ้น 36.38% กำไรสุทธิ 79.51 ลบ. ลดลงจากต้นทุนราคาวัตถุดิบหลักและการแข่งขันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ฐานการผลิตคอนกรีตอัดแรงที่ปูพรมอยู่เกือบทั่วทุกภูมิภาคที่สำคัญของประเทศ หนุน STECH โอกาสรับงานสูง โดยเฉพาะโครงการ EEC ที่จ่อคิวรับงานใหม่เพิ่ม
นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/65 เชื่อว่าจะดีกว่าในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยมองว่าหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย รัฐบาลเปิดประเทศเป็นสัญญาณเชิงบวก และธุรกิจของ STECH ที่อิงกับระบบสาธารณูปโภค รวมทั้ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุน ให้ภาคเอกชนเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวกให้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงมีความต้องการสูง ซึ่ง STECH ได้รับอานิสงส์การเติบโตไปด้วย
ล่าสุดประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 9.15 ล้านบาท ลดลง 77.52% มีรายได้รวมอยู่ที่ 439.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.51 ล้านบาท หรือ 2.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 428.51 ล้านบาท โดยในงวดไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจงานรับเหมาฯก่อสร้างจำนวน 13.39 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทฯไม่มีรายได้จากธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งบริษัทฯได้ลงนามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายส่งระบบ 115kV เป็นงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถานีไฟฟ้าสกลนคร-สถานีไฟฟ้าศรีสงคราม จังหวัดนครพนม มูลค่างาน 97.97 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้รายได้ในเดือนธ.ค.2564 มีระยะเวลาการทำงาน 1 ปี โดยโครงการนี้ได้มีงานเพิ่มเติม จากสัญญาเดิมอีก 33.46 ลบ. กำหนดงานแล้วเสร็จในเดือน เมษายน 2566 และได้ลงนามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายระบบส่ง 115kV กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถานีไฟฟ้าแรงสูงสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย มูลค่างาน 63.85 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้รายได้ในเดือนสิงหาคม 2565 มีระยะเวลาการทำงาน 1 ปี
ขณะที่ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,621.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 432.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.38% โดยมีรายได้จากธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้าง 85.28 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 79.51 ล้านบาท ลดลง 15.84% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนราคาวัตถุดิบหลักและการแข่งขันที่สูงขึ้น
ด้านนายเจษฎ์กรณ์ มงคลศรีสวัสดิ กรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและขาย บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนการเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลและเอกชนที่กำลังจะเปิดการประมูลในช่วงปลายปี 2565 นี้ มูลค่ารวมกว่า 1,140 ล้านบาท ซึ่งหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย งานโครงการต่างๆจะเริ่มกลับมาเดินหน้าประมูลงานใหม่และส่งมอบได้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนเตรียมเข้าประมูลงานภาคเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทเติบโตขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 649 ล้านบาท
โดยในช่วงไตรมาส 3/65 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดแท่นผลิตเพิ่มอีก 1 แท่น เพื่อขยายกำลังการผลิต โรงงานดอนพุด จังหวัดสระบุรี ใช้เงินจากการระดมทุนไอพีโอ นับเป็นอีกกำลังเสริมทัพในการเข้ารับงานในโซนภาคกลาง รวมถึงโปรเจกต์ EEC สนับสนุนให้ปัจจุบัน STECH มีกำลังการผลิตคอนกรีตอัดแรงรวมอยู่ที่ประมาณ 430,000 คิวต่อปี หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 30% เป็นโอกาสการเติบโตในอนาคต พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าในเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ชูจุดแข็ง STECH เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดคอนกรีตอัดแรง มีโรงงาน 10 แห่ง กระจายอยู่ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญของประเทศ
ในแง่โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตลวดเหล็ก ซึ่งมีมูลค่าโครงการราว 320 ล้านบาท ที่ดำเนินการผ่านบริษัทย่อยของ STECH คือ บริษัท สยามสตีลไวร์ จำกัด ประเภทธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายลวดเหล็ก โดยสั่งเครื่องจักรที่ทันสมัยจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่รักษาสิ่งแวดล้อม และมีการเริ่มก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะเริ่มการรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 ใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัท และจำหน่ายให้กับลูกค้าส่วนต่างๆ อีกทางหนึ่ง เพื่อเข้าสู่การสร้าง New S-Curve ในธุรกิจใหม่