บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) คว้างานใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 93 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ Electrical and Instrument Work for CFP Concurrent Work Project - Package LCO New LCO and Associated Fuel Oil Facilities ของบมจ. ไทยออยล์ (TOP) มูลค่า 62.13 ล้านบาทและโครงการของ บมจ.ไทยลู้บเบส (TLB ) มูลค่า 31.77 ล้านบาท ฟากซีอีโอ "จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ"ระบุเดินหน้ารุกประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ประเภทงานระบบโครงสร้างพื้นที่มีความปลอดภัยขั้นสูง ดัน Backlog หนากว่า 3,474 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 3 ปีข้างหน้า มั่นใจผลงานปีนี้โตตามเป้าหมาย
นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) (JR) เปิดเผยว่าบริษัทได้ลงนามสัญญาในโครงการ Electrical and Instrument Work for CFP Concurrent Work Project - Package LCO New LCO and Associated Fuel Oil Facilities กับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 62,136,878.43 บาท โดยบริษัทมีระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 23 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา
รวมทั้งได้ลงนามในสัญญาสำหรับ โครงการ Electrical and Instrument Work for CFP Concurrent Work Project - Package LCO New LCO and Associated Fuel Oil Facilities กับบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) (TLB) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 31,773,407.11 บาท โดยบริษัทมีระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 23 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา
"การรับงานในครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 3,474 ล้านบาท และยังสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯมีศักยภาพที่จะสามารถรับงานในโครงการระบบโครงสร้างพื้นที่มีความปลอดภัยขั้นสูงในกลุ่ม "แพลนต์เบส" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการสร้างโรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานออยล์แอนด์แก๊ส ที่มีการแข่งขันน้อย โดยบริษัทจะร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ซึ่งจะสนับสนุนให้อนาคตมีช่องทางสร้างรายได้เพิ่มผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคง"
สำหรับแผนงานในช่วงไตรมาส 4/2565 ประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจยังอยู่ในทิศทางที่ดี และมีงานที่รอส่งมอบ รวมทั้งมีแผนจะมีเข้าประมูลงานใหม่อีกจำนวนมากจากทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ เริ่มมีโครงการใหม่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีงานโครงการใหม่เปิดประมูลกว่า 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟสที่ 2 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โครงการรื้อย้ายและสร้างใหม่ระบบโทรคมนาคมของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ รวมทั้งงานวางระบบไฟฟ้า อีกราว 300 ล้านบาท จึงทำให้มั่นใจว่าผลงานทั้งปีน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 135.27 ล้านบาท และมีรายได้รวมเท่ากับ 1,530.41 ล้านบาท