บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ผู้นำด้านบริการคลาวด์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย หนุนลูกค้าภาครัฐและเอกชนเดินหน้าสู่ยุค Digital Transformation ก้าวสู่องค์กรแห่งอนาคตด้วย Hybrid Cloud ยกระดับศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย ชูจุดแข็งด้านดาต้าเซ็นเตอร์และผนึกพันธมิตรระดับโลกการันตีด้วยรางวัลพันธมิตรมาแรงแห่งปีจาก AWS เจ้าแรกในภูมิภาคอาเซียน พร้อมจัดตั้ง AWS Outpost Service ในไทย หวังเป็นดิจิทัลฮับครบวงจรใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียน ตั้งเป้าขยายธุรกิจเติบโต 3 พันลบ.ภายใน 3 ปี
Digital Transformation เข้ามามีบทบาทอย่างมากในภาคธุรกิจ องค์กรหลายแห่งมีการนำทรัพยากรด้านไอทีมารวมกับธุรกิจอย่างเป็นระบบ องค์กรที่จะได้เปรียบและสามารถพลิกโฉมธุรกิจแบบเดิมๆ ให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลนี้ จำเป็นต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่าธุรกิจหรือแบรนด์ต้องคอยติดตามเทรนด์ Digital Transformation และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ดร.ยุทธศาสตร์ นิธิไพจิตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ผู้นำด้านบริการคลาวด์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการรองรับเทรนด์ขององค์กรที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วยไฮบริดคลาวด์ ในการบรรยายหัวข้อ"DIGITAL TRANSFORMATION WITH HYBRID CLOUD" ในงาน "Telecom World ASIA 2022" ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริการ NT CLOUD มีบริการ 2 รูปแบบ คือ Private Cloud สำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง และ Public Cloud ที่เหมาะกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ การให้บริการของ NT CLOUD เน้นกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรเป็นหลักครอบคลุมทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน โดยมีความแตกต่างในการให้บริการคือภาครัฐจะเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัย ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงซึ่งบริษัทฯจะให้บริการในลักษณะ Private Cloud ให้กับภาครัฐ รวมถึงเอกชนที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่สามารถเลือกใช้ Private Cloud เช่นกัน ขณะที่เอกชนกลุ่ม SMEs ที่อาจมีข้อจำกัดเรื่องราคา บริษัทฯจะเน้นการให้บริการด้วยระบบ Public Cloud ที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมกับบริษัทฯ ยังให้บริการสำรองข้อมูลให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ของลูกค้าหรือเป็น DR-site as a Service อีกด้วย
นอกจากนี้ การประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปรับปรุงระบบการดำเนินงานเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวโดยเคร่งครัด อีกทั้งภาครัฐยังต้องใช้การเก็บข้อมูลในประเทศ เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว NT ได้ร่วมมือกับ บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) ติดตั้ง AWS Outpost ที่ประเทศไทย ซึ่งสามารถให้บริการ NT CLOUD : Amazon Web Services (AWS) ด้วยไฮบริดคลาวด์เต็มรูปแบบ ตอบสนองลูกค้าที่เป็นหน่วยงานในประเทศด้วยการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลภายในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับนโยบายข้อมูลภาครัฐ
"NT มีลูกค้าภาครัฐจากโครงการขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง เช่น ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center And Cloud Services) หรือ "GDCC" ที่บริษัทร่วมงานกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประสิทธิภาพบริการดิจิทัลภาครัฐเพื่อประชาชน จึงเชื่อว่ามีศักยภาพดำเนินการขยายธุรกิจระบบคลาวด์ที่ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันทุกหน่วยงานรัฐยังเร่งพัฒนาระบบไอทีสู่เป้าหมายรัฐบาลดิจิทัลซึ่งสะท้อนปริมาณความต้องการคลาวด์ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ NT ได้รับรางวัล AWS Partner of the Year 2021 พันธมิตรมาแรงแห่งปีของ AWS สาขา New Market Public Sector คู่ค้าตลาดใหม่ภาครัฐของ AWS ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย"
ทั้งนี้ NT CLOUD มีจุดเด่นและความแตกต่างที่ทำให้ได้รับรางวัล AWS Partner of the Year 2021 เจ้าแรกในอาเซียน นั่นคือบริการ NT Data Center ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยระดับมาตรฐานสากลซึ่งเป็นหนึ่งในบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ และอีกจุดเด่นสำคัญคือการเฝ้าระวังความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย "NT cyfence" ผู้ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ที่ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตามมาตรฐานสากล ผ่านศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Operation Center) ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้าและช่วยตรวจสอบการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างปลอดภัย พร้อมให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
ดร.ยุทธศาสตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "NT ให้บริการ AWS outpost ซึ่งเป็นไฮบริดคลาวด์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างละเอียด ครบถ้วน ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา และมีโซลูชันให้เลือกมากมายตามความเหมาะสมของธุรกิจ ผลิตภัณฑ์และบริการของลูกค้า ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ภายใต้การควบคุมดูแลและดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบโดย NT และ AWS ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบโดย AWS เช่นเดียวกับในศูนย์ข้อมูล AWS ที่ใช้ระบบการและเครื่องมือเดียวกันกับ AWS ในระดับภูมิภาค
ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตของตลาดคลาวด์ในระดับโลก ตั้งแต่ปี 2019-2022 มีอัตราการเติบโต 14.5 % ส่วนตลาดคลาวด์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2017-2023 จะมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยถึง 29.7% จากแนวโน้มการเติบโตดังกล่าวทำให้ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกเล็งเห็นศักยภาพตลาดคลาวด์ในประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกมาให้บริการในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น"
สำหรับแผนในอนาคต บริษัทฯ มุ่งขยายฐานธุรกิจรองรับความต้องการของภาครัฐที่เติบโตขึ้นทุกปีโดยตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจให้เติบโต 3,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3-5 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท โดยเน้นร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้ให้บริการต่างประเทศในการขยายเซอร์วิสด้านคลาวด์ นอกจากนี้ ในส่วนของระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้กับลูกค้า บริษัทฯได้ร่วมมือกับ Vendor Security ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยในการทำ Security Solution รวมถึงมีศูนย์ Security Operation Center ช่วยดูแลเรื่องระบบความปลอดภัยของข้อมูลให้กับลูกค้า
ดร.ยุทธศาสตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเก็บข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลจากระบบคลาวด์ จะกลายเป็นเรื่องสำคัญในอนาคตอันใกล้ โดยขณะนี้บริษัทฯมีเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังพัฒนาอยู่ เพื่อเป็นส่วนช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารวมถึงเพื่อการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Digital Hub แหล่งที่ 2 ของอาเซียน ทั้งนี้ มองว่าในอนาคตบริการ NT Data Center มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีผู้ให้บริการต่างชาติเพิ่มเข้ามา ซึ่งขณะนี้ทั้ง GOOGLE กับ AWS มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะจัดตั้ง Region ใหม่ในประเทศไทย โดย NT มีความพร้อมที่จะรองรับในประเด็นดังกล่าว โดยการร่วมมื อกับกลุ่มพาร์ทเนอร์เพื่อขยายการให้บริการต่อไป.