กรุงเทพฯ--26 เม.ย.--124 คอมมิวนิเคชั่นส
บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SALEE) พร้อมด้วย บริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด (บริษัทย่อย) เตรียมเดินหน้าเข้าตลาดเอ็มเอไอ ในวันที่ 28 เมษายนนี้ ด้วยราคาไอพีโอ 2.89 บาท ภายหลังปิดจองไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ด้วยยอดจองล้นทะลัก ย้ำความมั่นใจอีกครั้งด้วยราคาประเมินที่เหมาะสมของหุ้น SALEE จากบริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัดที่ 3.29 — 4.52 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด ได้ประเมินภาพรวมธุรกิจของบริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SALEE) ว่า อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และฉลากสินค้าของสาลี่ฯ ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทย ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2547 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.58 และ 11.78 ตามลำดับ
ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 39 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากยอดคำสั่งซื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมในปี 2547 อยู่ที่ 349.71 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายชิ้นส่วนพลาสติก 223.48 ล้านบาท และรายได้จากการขายฉลากสินค้าของบริษัทย่อย 126.23 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 64 เปอร์เซ็นต์ และ 36 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งในธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกที่ได้รับลิขสิทธิ์การผลิตถาดใส่ไอซีจากบริษัท โตโยยูชิ ประเทศญี่ปุ่น และในธุรกิจผลิตฉลากสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญพิเศษทำให้ไม่มีคู่แข่งขันในประเทศ ประกอบกับบริษัทฯ มีฐานลูกค้าของตนเองที่ล้วนแต่เป็นลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, บีเอลดอฟ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นีเวีย เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถการันตีเทคโนโลยีและศักยภาพการผลิตชิ้นงานคุณภาพของบริษัทฯ ได้อย่างดีเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเรื่องราคาเม็ดพลาสติกซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักนั้นมีไม่มากอย่างที่คิด เนื่องจากบริษัทฯ มีข้อตกลงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบกับลูกค้าอย่างชัดเจน ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงราคาต้นทุนการผลิตได้ตามความเป็นจริง อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้จำหน่ายวัตถุดิบ ทำให้บริษัทฯ สามารถวางแผนการผลิตและสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เห็นได้จากผลประกอบการที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยสูงถึง 35.6 เปอร์เซ็นต์ และประมาณการปี 2548 อยู่ที่ 38.8 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยอัตราส่วนสภาพคล่องและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปี 2547 อยู่ที่ 0.76 เท่า และ 1.14 เท่าตามลำดับ โดยภายหลังการเพิ่มทุนบริษัทฯ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1.45 เท่า และอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 0.90 เท่า ซึ่งถือว่าฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมาก
บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด คาดการณ์ว่า ในปี 2548 บริษัทฯ จะมีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิถึง 28 เปอร์เซ็นต์ และ 34 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เนื่องจากการเติบโตของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับบริษัทฯ เริ่มขยายฐานลูกค้าไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ปี 2547 ที่ผ่านมา โดยเริ่มผลิตชิ้นส่วนประตูและกระจกมองข้างให้กับรถฟอร์ดและโตโยต้า นอกจากนี้การก่อสร้างโรงงานใหม่บนเนื้อที่ 30 ไร่ มีแผนจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมปี 2548 จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
โดยบริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด ได้ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น SALEE ไว้ที่ 3.29 — 4.52 บาท เทียบกับค่าพี/อี เรโชที่ 8 — 11 เท่า
ทั้งนี้ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SALEE) กำหนดราคาขายหุ้น SALEE ที่ 2.89 บาทต่อหุ้น เทียบกับค่าพี/อี เรโชที่ 7.48 เท่า โดยมีส่วนลดอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ มีกำหนดเข้าเทรดวันแรก 28 เมษายนนี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ชัยวัฒน์ สิมะวัฒนา
พรพรรณ ฉวีวรรณ
บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด
โทร 0-2662-2266--จบ--