บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) เคาะราคาไอพีโอหุ้นละ 2.86 บาท เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 ธ.ค.65 ฤกษ์ดีเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 15 ธ.ค.นี้ ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ระบุเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดีเยี่ยม ชูจุดเด่นเป็นผู้ให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทย ฐานะการเงินแกร่ง รวมทั้งมีพันธมิตรรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสนับสนุนโอกาสการเติบโตสูงในอนาคต ฟากซีอีโอ "ทศพล คุณะเพิ่มศิริ" เตรียมนำเงินไปลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์โซลูชั่นใหม่ และสร้างศูนย์บริการข้อมูลยานพาหนะ รุกขยายลงทุนต่อยอดธุรกิจ ผลักดันผลงานเติบโตโดดเด่น สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.86 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 46.78 เท่า ซึ่งถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 ธันวาคม 2565 และคาดว่า จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายคือ "DTCENT" ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
"การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 2.86 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ DTCENT และด้วยผลประกอบการที่มีความสามารถในการทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มธุรกิจที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต จึงมั่นใจว่า จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากจากนักลงทุน"
สำหรับผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) กล่าวว่า DTCENT ถือเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ เพราะมีจุดเด่นคือ การเป็นผู้นำระบบติดตามยานพาหนะ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) ประกอบกับผลประกอบการที่ผ่านมา มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงผู้บริหารและทีมงานมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากกว่า 25 ปี มีพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้ง บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ถือหุ้นใน DTCENT จำนวน 18% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) โดย YES จะร่วมพัฒนาให้ DTCENT เป็น Tier 1 Supplier ในการดำเนินธุรกิจ OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในส่วนของบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นจำนวน 15% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักที่จะเข้ามาส่งเสริมเพิ่มศักยภาพ ให้แก่บริษัทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์ นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจ IoT จากนโยบายของภาครัฐและความพร้อมของสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งเป็นอีกธุรกิจหนึ่ง ที่แตกไลน์ออกมาจากธุรกิจ GPS ที่มีความมั่นคงแล้ว การเติบโตของธุรกิจ IoT จะช่วยให้ DTCENT เติบโตต่อไปได้อย่างก้าวกระโดด หลังจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีศักยภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) กล่าวว่า วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ รวมทั้งใช้เป็นเงินลงทุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจได้ในอนาคต
นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้ว กลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT อันประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT
ปัจจุบัน DTCENT มีบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วิศวกรรม ซอฟต์แวร์ จำกัด (WS) บริษัท ไทย ดิจิทัล แมพ จำกัด (TDM) และบริษัท ดี คอร์ ซิสเต็ม อินทริเกรเตอร์ จำกัด (DCORE) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 90.00 ร้อยละ 95.00 และ ร้อยละ 90.00 ตามลำดับ
"ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคู่ค้า ลูกค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีฐานทุนที่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม และด้วยแนวโน้มของธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากความต้องการใช้บริการ GPS พร้อมด้วย การพัฒนากลุ่มงาน IoT เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น จึงมั่นใจว่า DTCENT จะเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าประทับใจให้กับผู้ถือหุ้นได้และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง" นายทศพลกล่าวในที่สุด