"SGC หรือ บมจ. เอสจี แคปปิตอล" หุ้น IPO น้องใหม่ที่กระแสร้อนแรงสุดๆ ในเวลานี้มีผู้แสดงความสนใจจองซื้อเข้ามาเกินคาดหมาย พร้อมประกาศปิดจองซื้ออย่างสวยงาม "บุษบา กุลศิริธรรม" กรรมการผู้จัดการ เตรียมเดินหน้าตามแผนระดมทุน ขยายพอร์ตสินเชื่อสู่ 50,000 ล้านบาทในปี 2569 เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ส่วนใครที่พลาดโอกาสในวันจองซื้อ เตรียมพบกับ SGC ปักธงเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลางเดือนธันวาคมนี้
นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อที่ต่อยอดความสำเร็จมาจาก บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ทำให้หลังจากที่บริษัทฯ เปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ จะปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของ SGC เพื่อรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ลูกค้า ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน และมอบคุณค่าที่มากกว่าให้สังคม สร้างการเติบโตอย่างคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 3,104.85 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์) บริษัทฯ จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามแผนงานที่วางไว้ โดยจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเพื่อรองรับลูกค้ารายใหม่ และนำเงินทุนบางส่วนไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ 1,504.85 ล้านบาท ภายในปี 2566
และนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนไปชำระเงินกู้ยืม SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ จำนวน 1,600 ล้านบาท ภายในไตรมาส 3/2566 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท
นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยถึง ความสำเร็จในการเปิดจองซื้อหุ้น IPO ของ SGC ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุน มองว่ามาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่ง นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจ มีความน่าเชื่อถือ ประกอบกับ การกำหนดราคา IPO ที่ 3.90 บาท/หุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สนับสนุนให้หุ้น IPO ทั้งหมดจำนวน 820 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.08% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ได้รับการจองซื้อหมดทั้งจำนวน
นางวันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า SGC ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ รวมทั้ง เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เพิ่มศักยภาพธุรกิจ มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการเงินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของผู้บริหาร ในการเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างครอบคลุมทุกมิติ จึงมั่นใจว่า SGC จะเป็นอีกหุ้นพื้นฐานดีที่ไม่ควรมองข้าม และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลางเดือนธันวาคม 2565 ในหมวดธุรกิจ เงินทุนและหลักทรัพย์ ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า "SGC"
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวเสริมว่า เงินระดมทุนในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้ SGC เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสินเชื่อที่หลากหลาย ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ผ่านสาขาและสาขาแฟรนไชส์ของบริษัท รวมทั้ง ผสานความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับบริษัทในเครือ (Synergy) โดยมุ่งเน้นสินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ภายใต้แบรนด์ "รถทำเงิน" ที่มีการเติบโตในอัตราเร่ง โดยเฉพาะประเภทรถบรรทุก ซึ่งมีฐานลูกค้าคือกลุ่มผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ทำให้สามารถควบคุม NPL ในพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน อยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 1% และมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่มาก เป็นโอกาสขยายการเติบโตให้แข็งแกร่งต่อไป
ขณะที่ ภายหลังเข้าจดทะเบียน SGC จะมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น ด้วยต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมุ่งสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตแตะระดับ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 หรือเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 32% จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 มีมูลค่าลูกหนี้ 15,102 ล้านบาท
ในด้านผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 SGC มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,665 ล้านบาท เติบโต 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร สัดส่วน 51% ที่เหลือเป็นรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 467 ล้านบาท พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7 %