กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--เอไอเอส
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า “งานดีไซน์” เป็นงานที่ไม่เคยหลับใหล ต้องอาศัยความโลดแล่นของความคิดและจินตนาการเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในการสร้างสรรค์ผลงาน ยิ่งยุคนี้สมัยนี้... เป็นยุคของงานดีไซน์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ชิ้นไหนที่สามารถบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ บ่งชัดถึงความแตกต่าง ความแปลก และที่สำคัญต้องไม่ซ้ำใคร กำลังเป็นที่ฮ็อตฮิตติดตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงานดีไซน์ทำมือ หรือจะเรียกเก๋ๆ ว่า “งานแฮนด์เมด” คงจะเป็นผลงานที่สามารถบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจที่เป็นอิสระจากกรอบความคิด แสดงความเป็นปัจเจกของเจ้าของไอเดียสุดบรรเจิดได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวของแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมดีๆ มีสาระอย่าง One-2-Call iD Showcase ที่ One-2-Call! จัดขึ้นเพื่อต้องการสนับสนุนทุกความคิดอิสระ ของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่มีพลังอิสระในการสร้างสรรค์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของตนเองอย่างล้นเหลือ และต้องการเวทีที่จะแสดงออก ดังนั้น One-2-Call! จึงปิดพื้นที่สยามสแควร์ ซอย 3 ทั้งซอย ทุกวันศุกร์สิ้นเดือน ตลอดทั้งปี 2551 ให้บรรดาขาโจ๋ ชาวสยามสแควร์ ได้มีมุมอิสระในการโชว์หลากหลายไอเดียสร้างสรรค์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
และภายในงาน One-2-Call iD Showcase ครั้งล่าสุด ที่จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “ปะ..ปะ..ปะ”ที่แปลความหมายว่า แนวคิดการปะติดปะต่อผลงานสร้างสรรค์ของทั้งเหล่านิสิต นักศึกษา ที่มีไอเดียไม่เหมือนใครเพื่อแสดงความเป็น ตัวเองจนใครๆ ต้องยกนิ้วให้ เราก็จะได้เห็นผลงานสร้างสรรค์ ซึ่งรวบรวมเอาผลงานดีๆ มีดีไซน์จากน้องๆ นักเรียน นักศึกษา จากสถาบันต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง เและอีกหลายๆสถาบัน ที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์และมีใจรักในงานออกแบบสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง มาร่วมออกร้านแสดงผลงานเกือบ 70 ร้าน แทบจะเรียกได้ว่า ภายในสยามสแควร์ ซอย 3 งานนี้จึงกลายเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาคออินดี้อินเทรนด์ที่ชื่นชอบผลงานการออกแบบที่มีชิ้นเดียวในโลก ที่สามารถหาซื้อได้ที่นี่เพียงที่เดียว แถมเก๋ เริ่ด ไม่ซ้ำใคร…และได้เต็มอิ่มกับการชมโชว์อิสระต่างมากมาย
บรรดาเหล่าวัยทีนต่างขนไอเดียหลากหลายมากมาย ที่มาจากแรงบันดาลใจสุดกิ๊บเก๋ของแต่ละคน มาโชว์กันเต็มที่ เริ่มต้นกับไอเดียดีๆ กับผลงานการออกแบบที่น่าสนใจชิ้นแรก คือ น้องสุพัตรา เพชรศรี หรือ น้องจูดิต กับ ผลงานกระเป๋าหนัง ที่ลงมือทำด้วยตัวเองเลยละ เป็นกระเป๋าใส่ทั้งพาสสปอร์ต- เอกสารใดๆก็ได้ โดยวิธีการ คือ ต้องร่างชิ้นงานไว้ก่อน กะวัดขนาดของ พาสสปอร์ต และก็ตัดได้เป็นแต่ละอัน หลังจากนั้นก็ทากาว เอามาเย็บติดกันต้องไล่ขั้นตอนก่อนว่าจะต้องเย็บอันไหนก่อน เช่น การเย็บหนังนั้นมันต้อง ใช้อุปกรณ์ในการทำเครื่องหนังก่อน ตอกให้เป็นรู ถึงจะค่อยเอาเชือกมาเย็บได้ โดยใช้เวลาในการผลิต ประมาณ 6 -8 ชั่วโมง โดยได้ชั่วโมงละ 2 ชิ้น ราคาชิ้นละ 550 บาท โดยกระเป๋ามีลักษณะเอนกประสงค์ที่ที่สามารถใส่ได้ทั้ง passsport / pocketbook / credit card bank มีกระเป๋าเล็กๆ มีซิปใส่เศษตังค์ได้ด้วย
“ งานเย็บมือมันจะต่างจากสินค้าอื่นทั่วไปที่เราเห็นจะเป็นงานเย็บจักร แต่ของเราจะเป็นงาน เย็บมือ และ style งานเราของทุกชิ้นจะดู ดิบๆ มันส์ๆ งานของเราจะต่างจากงานอื่นตรงที่ นำของมาทำเองเย็บกันสดๆให้เห็นเลย และสามารถสั่งสินค้าหรือออกแบบให้เห็นเลย หรือจะออกแบบเองก็ได้เลือกหนังก็ได้ทำได้ทุกอย่าง หรือจะซ่อมสินค้ามาจากไหนก็ตามเราก็มีอุปกรณ์ช่วยซ่อมด้วย ซึ่งตอนนี้ก็สามารถต่อยอดได้แล้ว และก็มีลูกค้าสั่งทำไปขายเหมือนกัน” น้องจูดิต กล่าว
ในขณะที่ น้องศักดิ์สิทธิ์ พรมสูตร หรือ น้องต๋อง หนุ่มน้อยจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย ซึ่งทำ หุ่นยนต์พวงกุญแจแสนน่ารัก ที่มีชื่อว่า Roboto ซึ่งก็คือ หุ่นยนต์ นั่นเอง โดยต๋องบอกว่า อยากทำพวงกุญแจให้ดูแปลกใหม่ และออกในแนว Pop art ที่มีสีสันสดใส โดยใช้วัสดุที่ทำจากไม้มาประกอบกัน แล้วเพ้นท์ด้วยสีอะครีลิค ที่มีสีสันสดใส โดยทำออกมา 2 แบบ หน้าตาเป็นหุ่นยนต์ที่มีหน้าตาน่ารัก หน้าสี่เหลี่ยมแบบหุ่นยนต์ไขลาน ซึ่งเป็นที่ถูกใจ บรรดาวัยรุ่นวัยโจ๋ และเป็นแนวแฟชั่น เก๋ๆ อย่างมากทีเดียว ซึ่งเป็นงานที่บรรจงลงมือทำด้วยตัวเองเลยทีเดียว จากการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเทอม ซึ่งปรากฏว่าผลงานของ ต๋อง ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว
“ เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นก็มีความคิดสร้างสรรค์มากทีเดียวนะครับ หลายๆคนก็หันมาครีเอตไอเดียดี ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเวทีแห่งนี้ก็เป็นประโยชน์มากทีเดียว ผมจะต่อยอดจากงานนี้ด้วยการทำชิ้นใหญ่มากขึ้น เช่น นาฬิกา และตอนนี้ก็มีคนสนใจชิ้นงานของผมมากครับ “
น้องนัท — ณัฐศรัณย์ งามประภากร อายุ 22 ปี สาวน้อยจากคณะมัณฑนศิลป์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็มีผลงานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน กับผลงานสร้อยข้อมือและพวงกุญแจหนัง ที่ต้องการให้ผลงานที่ออกแบบเป็นสื่อกลางในการแสดงให้เห็นถึงตัวตนของทั้งคน 2 คน ผ่านการสลักชื่อให้เป็นความทรงจำแห่งความรักลงบนแผ่นหนัง จากแรงบันดาลใจในโจทย์ของ theme ปะ ...ปะ...ปะ...ด้วยจุดเด่นที่เน้นการเขียนสดๆ สั่งตรงจากลูกค้า เราสามารถพิมพ์ชื่อที่ลูกค้าต้องการลงบนสินค้าได้ทันที และการนำ ภาพที่เราชอบมาไว้บนงานได้ ซึ่งเป็นงานแกะกล่องที่เราคิดใหม่ทำใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
“ เราคิดว่าสินค้าที่เราได้ทำและได้ขายในงานครั้งนี้ รวมทั้งที่มหาวิทยาลัย หรือ งาน GIFT ทำให้เรามีประสบการณ์จากการเจอตัวตรงๆกับลูกค้า ทำให้ทราบความต้องการของลูกค้าหลายๆกลุ่มที่ต่างกันออกไป สิ่งที่เราจะนำไปต่อยอดน่าจะเป็นประสบการณ์มากกว่าเราจะนำสิ่งที่ได้ไปพัฒนา แล้วเปิดร้านที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง” น้องนัทกล่าวและว่า ความคิดที่โปรโมทการขายของภายในงานคือ
ไม่ขายเองแต่ให้เพื่อน พี่และน้องๆที่ มีความสามารถและมีความเชี่ยวชาญ มาขายและพรีเซนต์สินค้าแทน ซึ่งทำให้มีคนมาเข้าร้านตลอดเวลา “
นอกจากนั้น มาดู พวงกุญแจตุ๊กตากระต่ายคู่ ของ น้องเดียร์- ปรียาวัลย์ มณีรัตน์ นิสิตสาวคณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาภาษาต่างประเทศ เอกภาษาเยอรมัน ชั้นปีที่ 2 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่หยิบเอาความขี้เล่นของกระต่าย สัตว์เลี้ยงที่น่ารัก มาเป็นไอเดียในการออกแบบงานต่างๆ ทั้งพวงกุญแจ กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง แต่ที่เป็นไฮไลท์สำหรับงานนี้จะเป็นพวงกุญแจกระต่ายคู่ ตัวหนึ่งจะเป็นสีขาว อีกตัวเป็นสีดำ โดยความพิเศษของมันจะอยู่ที่ตาของกระต่ายทั้ง 2 จะแอบมองกัน ซึ่งเป็นจุดขายหลักที่มีความแปลกแตกต่างไปจากพวงกุญแจทั่วๆไป นอกจากนี้ก็ยังมีพวงกุญแจไซส์มินิ ขนาดเท่าฝ่ามือ ที่ดีไซน์ให้หน้ากระต่ายที่ออกมาดูแปลกปนทะเล้นให้เลือกซื้อไปเป็นของฝากอีกหนึ่งชิ้น
น้องเดียร์ เล่าถึงแรงบันดาลใจของตนว่า “ปกติทำตุ๊กตากับกระเป๋าแฮนด์เมดขายกับพี่อยู่แล้ว แต่เพื่อให้เข้าคอนเซปต์ของงานเลยลองทำตุ๊กตาเป็นคู่ผู้ชายผู้หญิง ซึ่งส่วนตัวนั้นชอบงานประเภทแฮนด์เมด ส่วนพี่ก็ชอบวาดรูปและประดิษฐ์ของเลยช่วยกันออกแบบสินค้าขึ้นมา และช่วยกัน แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกัน ใช้เวลาทำต่อตัวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ใช้วัสดุคือ ผ้าที่ชอบ เช่นผ้าลายสวยๆในที่นี้ใช้ทำเสื้อผ้าตุ๊กตา ผ้า fur ใช้ทำตัวตุ๊กตา ผ้าสักหลาดสองหน้าทำหน้าตาตุ๊กตาเข็ม คิดว่าเป็นหน้าตาของตุ๊กตา ที่ตัวกระต่ายสีดำที่เป็นผู้ชายจะหน้ากวนๆหน่อย ส่วนสีขาวเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักๆ ดูขัดแย้งกันดี ส่วนเสื้อผ้าสามารถเปลี่ยนได้ ก็น่าจะเป็นจุดขายได้อีกอย่างหนึ่ง โดยรวมน่าจะโดนใจคนซื้อที่เป็นคู่รักอยู่บ้างนะคะ เงินลงทุนก็มาจากเงินค่าขนม ทำงานพิเศษ และรวมกับที่ยืมทางบ้านมาส่วนหนึ่ง ช่วงแรกก็ลองทำขายจำนวนไม่มากก่อนงานส่วนใหญ่ช่วงแรกจะเย็บมือทั้งหมด พอขายไปสักพักก็เอาเงินส่วนหนึ่งไปซื้อจักรเย็บผ้า เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มความสะดวกในการทำงาน
และที่น่าสนใจ คือ ขณะนี้น้องเดียร์กำลังต่อยอดงานความคิดสร้างสรรค์ของตนเองด้วยการ เริ่มที่จะทดลองทำเวบไซต์เกี่ยวกับสินค้าที่ขายดูเพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้า และขายตามมหาวิทยาลัยต่างๆเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาจทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ เวบไซต์และสินค้าเพิ่มด้วย ตามเทศกาลพิเศษต่างๆ อาจทำคอลเลคชั่นพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ หรืออาจจัดเป็นเซทของขวัญเข้าชุดกันตามสั่งเป็นต้น
ส่วนผลงานที่ขายดีไม่แพ้ใคร นั่นคือ สมุดโน้ต ทำมือ ของ ณรงค์ชัย วงศ์บุญมาก กับทีมจากมหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี โดยมีแนวคิดที่ไม่อยากลอกเลียนแบบใคร ต้องการเป็นตัวของตัวเอง โดยการใช้กระดาษแข็งเป็นปก ลงสีขาวเป็นพื้นก่อน เมื่อเย็บเล่มเสร็จ ก็ระบายปกเป็นสีสันต่างๆ ด้วยการระบายบ้าง สลัดสีใส่บ้าง หรือขูดสี บ้าง ทำให้ผลงานออกมามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในแนว Pop Art ทั้งสีสดๆ หรือ ทำให้ดูเก่าๆ คร่ำคร่า ก็เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่ได้รับความสนใจมากทีเดียว
ส่วนผลงานการออกแบบพวงกุญแจตุ๊กตาหมี ที่ใส่ความอินเทรนด์เคล้ากับกลิ่นอายของเทศกาลแห่งความรักด้วยรูปหัวใจที่หน้าอก โดยน้องเอก — เอกชัย สายสอง จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่งัดเอาสุดยอดผลงานที่เจ้าตัวบอกว่า “ได้มาเพราะความบังเอิญ” แต่ไปเข้าตาร้านขายของมีดีไซน์ชื่อดังอย่าง Propaganda ก็มาร่วมสร้างสีสันภายในงานนี้ด้วย โดยจุดเด่นของแต่ละผลงานจะเน้นเทคนิคการเย็บที่ประณีตผสานกับการเลือกใช้วัตถุดิบหลักที่เป็นหนังแท้และหนังเทียม ที่สามารถดีไซน์ได้หลากหลายรูปแบบ ในราคาที่ย่อมเยา
และปิดท้ายกับผลงานกระเป๋าผ้าและแหวนหลากหลายสไตล์ของน้องพิ้งค์ — วราวรรณ ธีระพิจิตร จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่แสวงหาความเป็น Unique ให้กับชิ้นงาน โดยเลือกเอาวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องตลาดมาตัดเย็บ ด้วยการหยิบเอาดีไซน์มาผสานกับกระแสโลกร้อน ออกมาเป็นกระเป๋าผ้าฉบับพกพาสะดวก แถมด้วยไอเดียการออกแบบแหวนแฟชั่นที่เน้นความลงตัวอย่างเหลือเชื่อของอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งกระดุม เส้นด้าย ไหมพรม ผ่านเทคนิคปะ-ติด-ต่อ ที่เจ้าตัวการันตีว่า เป็นเทคนิคส่วนบุคคล ไม่มีผู้ใดกล้าเลียนแบบอย่างแน่นอน!!
แต่ละผลงานที่มาร่วมแต่งเติมสีสัน สะท้อนความคิดและจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดในวันนี้ เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของงานดีๆ มีไอเดียที่ทาง One-2-Call ตั้งใจครีเอทกิจกรรมสำหรับวันทีนทุกศุกร์สิ้นเดือนตลอดทั้งปี 2551 เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าบรรดานิวเจเนอเรชั่นใหม่ ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีพลังทางความคิด มีอิสระในการสร้างสรรค์ ได้มีพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งผลงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและความคิดที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ สู่สายตาสาธารณชนได้ต่อไปในอนาคต
เพื่อเป็นโอกาสให้เขาเหล่านั้นได้มีแนวทางในการเรียนรู้การประกอบธุรกิจต่อไปในอนาคต สำหรับผู้ที่สนใจอยากนำผลงานมาร่วมโชว์และเข้าร่วมกิจกรรม One-2-Call! iD Showcase ในเดือนเมษายนภายใต้แนวคิด “เมษามั่น..ของคนมันส์ๆ “ ต่อไป สามารถเข้าร่วมโครงการ ง่ายๆ โดยติดตามรายละเอียดข้อมูลได้ที่ www.one-2-call.ais.co.th หรือ AIS Call Center 1175