กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--ปตท.
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าสุดว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้พุ่งสูงขึ้นทุกชนิด โดยราคาน้ำมันดิบ WTI, Brent, และ Dubai ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 2.69% 3.07% และ 2.17% มาอยู่ที่ (ณ 7 เม.ย. 51) 109.10, 105.49, และ 98.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับจากข่าว Houston Ship Channel ของสหรัฐฯ ปิด เนื่องจากหมอกหนาทำให้เรือขนส่งน้ำมันต้องหยุดการขนส่งชั่วคราว ในขณะที่ เลขาธิการกลุ่มโอเปคกล่าวว่า โอเปคยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังการผลิตในขณะนี้ รวมถึงข่าวที่รัฐบาลจีนจะลดภาษีการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อลดการขาดทุนของโรงกลั่น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 และ ดีเซลอยู่ในระดับนิวไฮอีกครั้งที่ 116.36 และ 132.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบและสำเร็จรูปที่ดีดตัวสูงขึ้น ล้วนกดดันให้แนวโน้มตลาดน้ำมันทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนขายปลีกผลิตภัณฑ์น้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นทันทีในทุกชนิด ปตท. จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (9 เม.ย. 51) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เป็นดังนี้
น้ำมัน หน่วย : บาท/ ลิตร
น้ำมันเบนซิน พีทีที E20 พลัส 29.09 (ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึง 6 บาท ม.ค.-มิ.ย.51)
น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ พลัส 95 31.09 (ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึง 4 บาท)
น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ พลัส 91 30.29 (ถูกกว่าเบนซิน 91 ถึง 3.70 บาท)
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 95 35.09
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 91 33.99
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที B5 พลัส 30.74 (ถูกกว่าดีเซล ถึง 0.70 บาท)
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที เดลต้า เอ็กซ์ 31.44
นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ต้นทุนราคาขายปลีกจะสูงขึ้นทั้งในกลุ่มเบนซินและดีเซลแต่ ปตท. ยังคงไม่ปรับราคาดีเซลขึ้นในขณะนี้ โดยขอรอดูสถานการณ์ราคาปิดตลาดน้ำมันดีเซลสิงค์โปร์ ก่อน 1-2 วัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งนี้วอนให้ประชาชนประหยัดการใช้พลังงานและใช้พลังงานทดแทนให้มากที่สุด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันของตนเองและประหยัดเงินตราต่างประเทศของไทยอีกทางหนึ่งด้วย