นักลงทุนรุ่นใหม่แนะจัดพอร์ตลงทุนเดือนแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ กลับมาโดดเด่นทั้งพื้นฐานและสัญญาณทางเทคนิค รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนามที่ยังโดดเด่นในเรื่องของค่า P/E ที่ถูก และเศรษฐกิจที่เติบโต ขณะที่ทองคำได้ประโยชน์จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า อีกทั้งยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต้องจับตาการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่กลางเดือนมกราคม และตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธันวาคมที่จะประกาศในสัปดาห์นี้
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า สินทรัพย์ที่โดดเด่นและสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีในช่วงต้นปี 2566 ให้จับตาไปที่ตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะดัชนี H-Share ที่สร้างผลตอบแทนแล้วตั้งแต่ต้นปีกว่า 6.1% โดยมีกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ และฮ่องกง เป็นกลุ่มหุ้นหลักที่ราคาปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นจีน คือรัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนนโยบายสำคัญ โดยผ่อนคลายล็อกดาวน์เมืองจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ควบระยะเวลามานานเกือบสามปี ประกอบกับล่าสุด รัฐบาลจีนอนุมัติแผนการระดมทุนของ ANT Financial ทำให้เกิดความหวังว่ามาตรการการกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีของจีนจะลดความเข้มข้นลงหลังจากนี้ และมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนเป็นสินทรัพย์แรก
ขณะที่ ราคาดัชนี CSI-300 ล่าสุด ได้สะท้อนตลาดหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นมารับข่าวดี กรณี รัฐบาลจีนเปิดให้ชาวจีนสามารถเดินทางไปยังต่างประเทศได้ในรอบสามปี นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทำให้เกิดความหวังที่เศรษฐกิจภายในของจีนจะเติบโตขึ้น
"ปัจจัยบวกสนับสนุนหุ้นจีนในปีนี้ ยังมีเรื่องของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นอีกครั้ง โดยปี 2021 ที่เป็นปีหลังจากเกิดการแพร่ระบาดหนักของไวรัสโควิดในจีนปี 2020 เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน ก็สามารถเติบโตได้โดดเด่น ซึ่งปีนี้มีโอกาสจะเห็นภาพนั้นอีกครั้ง ที่สำคัญคือแวลูเอชั่นของตลาดหุ้นจีนยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก"
ในเชิงเทคนิคดัชนี H-Share รวมถึง Hang Seng ของฮ่องกง ถือได้ว่าพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังสามารถที่จะลงทุนได้ ทั้งระยะกลางและระยะยาว ส่วนดัชนี CSI-300 และตลาดหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้นเป็นขาขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนสามารถเลือกเข้าลงทุนได้เช่นกัน
ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 4.4% โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นในเอเชียถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว จุดเด่นยังคงเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตได้โดดเด่นที่สุดในเอเชียรวมถึงค่า P/E ปัจจุบันยังอยู่เพียงแค่ 9 เท่า ถือว่ายังถูกมากแม้ว่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถมีในพอร์ตลงทุนได้
นายณพวีร์ กล่าวว่า อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่โดดเด่น คือ ทองคำ โดยสร้างผลตอบแทนได้ 2.4% ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าจะน้อยกว่าตลาดหุ้น แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือดัชนี Dollar Index ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชัดเจนแล้วว่าดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะส่งผลบวกต่อทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยจริง ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง ทั้งนี้ มุมมองระยะสั้น ทองคำ มีแนวต้านที่ 1,900 ดอลลาร์ หากผ่านไปได้จะมีโอกาสทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 2,000 ดอลลาร์ หรือ สูงกว่านั้น
ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังต้องจับตาการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะเป็นการชี้ชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง หรือ ไม่ รวมถึงการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ของเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งจะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 6.5% ลดลงจากเดือนก่อนที่ 7.1% ถ้าหากลดลงก็จะส่งผลดีต่อทุกสินทรัพย์
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับตัวลงมาในระดับที่มากกว่า 30% รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีในกลุ่ม Disruptive ที่ลดลงมากกว่า 70-80% ถ้าหากนโยบายการเงินของ FED เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ก็อาจจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนในแง่ของเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ในระยะสั้นไม่ใช่เวลาที่จะลงทุนหุ้นสหรัฐฯ
"ช่วงเดือนแรกของปีนี้ ไปจนถึงสิ้นสุดไตรมาสแรก อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีของหุ้นจีน เวียดนามและทองคำ แต่ถ้าเวลาผ่านไปและราคาสินทรัพย์กลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นในระดับหนึ่ง ในช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะเลือกโยกเงินบางส่วนมายังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ เพราะราคาหุ้นที่ถูกลงและคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับมา ฟื้นตัวดีขึ้น"
สำหรับ ตลาดหุ้นไทย ระยะสั้นน่าจะได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนความเป็นไปได้ที่จะเกิด Election Rally ซึ่งทุกครั้งที่เกิดขึ้นตลาดหุ้นไทยจะตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามค่า P/E ของ SET Index ไม่ได้ถูก และกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ได้เติบโตโดดเด่น มองว่ายังต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุน