บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศนำอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F2(tha)' ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินมูลค่าไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท ของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ Esso เข้าเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา หลังจากที่บริษัท ExxonMobil Asia Holdings Private Limited ซึ่งเป็น บริษัทแม่ของ Esso ได้ประกาศการขายหุ้นของ Esso ทั้งหมดให้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 โดยโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินดังกล่าว มีอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้
อันดับเครดิตเข้าเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณาสะท้อนความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลง ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตของEsso ปัจจุบันฟิทช์จัดอันดับเครดิตของ Esso ด้วยวิธี bottom-up ซึ่งได้มีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสามอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพังของ Esso เพื่อสะท้อนถึงแรงจูงใจของ ExxonMobil ในการให้การสนับสนุนแก่ Esso ในระดับปานกลาง ('Medium' Incentive) ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ทั้งนี้การประเมินสถานะเครดิตของ BCP และแรงจูงใจในการสนับสนุนต่อ Esso จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสถานะเครดิตของ Esso ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ
อันดับเครดิตอาจได้รับผลกระทบในแง่ลบ หากฟิทช์พิจาณาว่า สถานะเครดิตของ BCP แข็งแกร่งกว่าสถานะเครดิตลำพังของ Esso ไม่มากนัก หรือ แรงจูงใจของ BCP ในการสนับสนุน Esso อยู่ในระดับปานกลาง ภายหลังจากการซื้อขายกิจการ อย่างไรก็ตาม หากฟิทช์พิจารณาว่า สถานะเครดิตของ BCP แข็งแกร่งกว่าสถานะเครดิตลำพังของ Esso มาก และแรงจูงใจของ BCP ในการสนับสนุน Esso อยู่ในระดับที่สูง อาจส่งผลในแง่บวกต่ออันดับเครดิตของ Esso
การพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับการซื้อขายกิจการจะแล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น และหน่วยงานกำกับดูแล
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
โอกาสเข้าซื้อกิจการจาก BCP: ในการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้มีราคาซื้อขายเบื้องต้นที่ 3.1 หมื่นล้านบาทสำหรับหุ้นทั้งหมดของ Esso ประเมินจากฐานะการเงินของบริษัทในไตรมาส 3 ของปี 2565 ซึ่งธุรกรรมในครั้งนี้จะรวมธุรกิจทั้งหมดของ Esso ยกเว้นธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูป และธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์ โดยมีแหล่งเงินมาจาก เงินกู้ยืมจากธนาคาร และเงินสดในมือของ BCP ส่วนเงินกู้จากกิจการที่เกี่ยวข้องกันของ Esso ในปัจจุบันจะถูกรีไฟแนนซ์ เป็นหนี้เงินกู้จากธนาคาร และตลาดตราสารหนี้ โดย BCP คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และจะมีการเสนอซื้อหุ้น (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 34 ของหุ้นทั้งหมด โดยมีราคาเสนอซื้อหุ้นเป็นราคาเดียวกันกับราคาที่ ExxonMobil และ BCP ตกลงซื้อขายหุ้นกัน
ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ BCP จะมีอำนาจในการบริหารและพนักงานของ Esso จะย้ายไปเข้าอยู่ภายใต้ BCP ทั้งนี้ BCP แจ้งว่าจะใช้เวลาเปลี่ยนผ่านเป็นแบรนด์ Esso เป้น BCP ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ฟิทช์จะประเมินแรงจูงใจของ BCP ในด้านกฎหมาย กลยุทธ์และการดำเนินงานที่มีต่อ Esso ภายหลังจากการซื้อกิจการแล้วเสร็จ โดยหากมีแรงจูงใจอยู่ในระดับที่สูง จะส่งผลให้การจัดอันดับเครดิตของ Esso อยู่ในรูปแบบ top-down จากสถานะเครดิตรวมของ BCP และในกรณีที่แรงจูงใจอยู่ในระดับปานกลาง จะส่งผลให้การจัดอันดับอยู่ในรูปแบบ bottom-up ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากสถานะเครดิตโดยลำพังของ Esso จากการสนับสนุนจากบริษัทแม่
กำไรที่เพิ่มขึ้นจากค่าการกลั่นน้ำมันที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์ คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1.7 หมื่นล้านบาท (ปี 2564: 7.9 พันล้านบาท) เนื่องจากค่ากลั่นน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวของตลาดน้ำมันโลก จากแรงกดดันของอุปสงค์และอุปทาน และ กำไรจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน โดยค่ากลั่นน้ำมันซึ่งรวมกำไรจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 13.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 7.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในช่วงปี 2564 และทำให้ EBITDAในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่า EBITDA จะปรับตัวลดลงอยู่ในระดับปกติและอยู่ที่ระดับ 4 ถึง 5 พันล้านบาทต่อปี หลังจากปี 2565 ตามสมมุติฐานที่ค่าการกลั่นในช่วงกลางวัฏจักรของธุรกิจ (Mid cycle) ที่ไม่รวมกำไรมูลค่าสต๊อกน้ำมัน ที่ระดับ 4.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สถานะการเงินปานกลาง: ฟิทช์คาดว่า EBITDAที่แข็งแกร่งดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 2.1 เท่าในปี 2565 จาก 3.4 เท่าในปี 2564 ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่า EBITDA net leverage จะอยู่ที่ระดับ 2-4 เท่า ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า
ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ต่ำ: ฟิทช์คาดว่า Esso จะมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน อยู่ที่ระดับประมาณ 1.4 พันล้านบาท ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567 อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนอาจมีโอกาสเปลี่ยนแปลงหลังจากเข้าซื้อกิจการของ BCP
ธุรกิจที่มั่นคง: บริษัทฯ มีข้อได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ผ่านทางกลุ่มบริษัท ExxonMobil ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ตามสภาวะตลาด โดยอัตราการผลิตของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 จากการฟื้นตัวของการใช้เชื้อเพลิงในประเทศ เป็น 1.3 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส ซึ่งสะท้อนถึงกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพดี อีกทั้ง Esso มีธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศที่มั่นคง โดยมีสถานีบริการจำนวน 780 สถานี ณ สิ้น เดือนกันยายน 2565 โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มขยายสถานีบริการใหม่ จำนวน 35 สถานีในปี 2564 และอีก 51 สถานีในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565
ธุรกิจมีความผันผวนสูง: สถานะเครดิตโดยลำพังของ Esso ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ ขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็ก และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ความผันผวนของค่าการกลั่น ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไร และกระแสเงินสดของบริษัทฯ
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
การนำอันดับเครดิตเข้าเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา สะท้อนถึง ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นที่มีต่อสถานะเครดิตของ Esso โดยสถานะทางธุรกิจของ Esso อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ Esso มีขนาดธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/F2(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb(tha)) แต่ Esso มีธุรกิจจำหน่ายน้ำมันแก่ลูกค้ารายย่อยผ่านสถานีบริการน้ำมันของตัวเอง นอกจากนี้ Esso ยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า IRPC แต่ฟิทช์มองว่าความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ของ Esso อยู่ในระดับที่สูงกว่าของ IRPC ที่มีกับบริษัทแม่
Esso มีขนาดธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ AA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/F1+(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a+(tha)) โรงกลั่นน้ำมันของ Esso มีความคอมเพล็กซ์ (ความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูงของโรงกลั่น) ที่น้อยกว่าและมีขนาดเล็กกว่าของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ/F1(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) นอกจากนี้ Esso ยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าทั้งสองบริษัทอีกด้วย
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565, 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566,
65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลหลังจากนั้น โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ Esso - อัตราการผลิตที่ร้อยละ 75-80 ของกำลังการกลั่นในปี 2565-2567
- ค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรหรือการขาดทุนมูลค่าสต๊อกน้ำมัน) ลดลงอยู่ในระดับปกติ ในปี 2566-2568
- ธุรกิจพาราไซลีนหยุดดำเนินการผลิต ตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2564
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 1.4 พันล้านบาท ต่อปี ในปี 2565-2567
- จ่ายเงินปันผลร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ ตั้งแต่ปี 2566
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ฟิทช์คาดว่า จะมีการพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณาหลังจากที่การเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะใช้มากกว่า 6 เดือน โดยจะมีการพิจารณาสถานะเครดิตโดยรวมของ BCP หรือ บริษัทแม่หลังจากการเข้าซื้อกิจการ และ แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ Esso ทั้งนี้ ฟิทช์จะยกเลิกเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา ในกรณีที่มีการยกเลิกการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ด้วย
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่ดี: Esso มีหนี้สินทั้งสิ้นจำนวน 3.64 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 โดยหนี้สินประมาณ 3.14 หมื่นล้านบาทจะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยหนี้สินที่จะครบกำหนดดังกล่าวเป็นเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร และกิจการที่เกี่ยวข้องกัน สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่สามารถเบิกกู้ได้จำนวนประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท จากกลุ่ม ExxonMobil นอกจากนี้ Esso ยังมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารที่ดี โดยมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่สามารถเพิกถอนได้ จำนวนประมาณ 2.0 หมื่นล้านบาท
ข้อมูลของบริษัท
Esso เป็นผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีครบวงจร รวมถึงธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานมากกว่า 125 ปี โดย บริษัท Exxon Mobil Corporation ถือหุ้นบริษัทประมาณร้อยละ 66 ผ่านบริษัท ExxonMobil Asia Holdings Private Limited บริษัทฯ มีโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน และมีสถานีบริการน้ำมันมากกว่า 750 แห่งในประเทศไทย