บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์(LEO) โชว์กำไรปี 2565 ที่ 304.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อน โดยทำสถิติ New High ในรอบ 3 ปีตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่บอร์ดใจดีอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.20 บาท/หุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 และกำหนดจ่ายเป็นเงินสดวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ฟากซีอีโอ "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" ระบุปี 2566 ตั้งเป้า Gross Profit Margin เพิ่มขึ้นเป็น 15-20% เน้นการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 40-45% ควบคู่การเดินหน้าลุยเจรจาปิดดีล JV และ M&A ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผลักดันธุรกิจการขนส่งทางรถไฟและการเป็นตัวแทนจัดหาสินค้าไปยังประเทศจีน สนับสนุนอนาคตเติบโตก้าวกระโดด
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ(ส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่) อยู่ที่ 304.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 198.8 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิทำสถิติ New High ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่บริษัทฯเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2562 และเป็นปีที่ 5 หากนับต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560
ขณะที่ปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,495.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 3,369.7 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19% ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เป็นผลจากความสามารถในการสร้างรายได้ และบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของบริษัท ที่ได้มีการปรับแผนการตลาดและการขาย ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การตลาดและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างดีเยี่ยม
"แม้ว่ารายได้รวมในไตรมาส 4/2565 จะลดลง จากไตรมาส 3/2565 เนื่องจากสถานการณ์ค่าระวางทางเรือที่ปรับตัวลดลงทั่วโลก แต่บริษัทฯ ก็ยังมีความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ และสามารถรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับที่ดี โดยล่าสุดมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 26 % จากงวดไตรมาสที่ 3/2565 อยู่ที่ 23% "
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตรา 0.20 บาท/หุ้น เป็นจำนวนเงิน 63.01 ล้านบาท และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 ที่ 0.20 บาท เท่ากับบริษัทฯจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนเงิน 0.40 บาทต่อหุ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ "365 Degree Collaboration" ตั้งเป้าเป็นปีแห่งการก้าวสู่ความเป็นบริษัท Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองก็จะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
รวมทั้งบริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics โดยจะทำการต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับทางวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด ให้สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯในอนาคตอันใกล้ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้ จะสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า และมีกำไรขั้นต้นในระดับสูง ซึ่งจะสามารถมาทดแทนรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ในปี 2566 บริษัทฯ ก็มีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย - จีน แบบ End-to-End กับทาง China Post ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของทางการรถไฟจีนในการทำการตลาดการขนส่งทางรางไทย-จีน และบริษัทฯก็ยังได้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับทาง บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด เพื่อร่วมทำการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างประเทศจีนมายังประเทศไทย และประเทศไทยยังประเทศประเทศจีน รวมถึงการใช้ประเทศไทยเป็น Logistics Hub ในการส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเอเชียใต้ หรือกลุ่มประเทศ Bimstec ซึ่งมีปริมาณสินค้ามากกว่า 100,000 ตันต่อปี
ปัจจุบันบริษัทฯกำลังทำการศึกษาที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังประเทศจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในฤดูกาลส่งออกผลไม้ของปี 2566 นี้ทาง LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่ายการขนส่งทางรถไฟในประเทศจีน ลาว และไทย รวมถึงการมีเครือข่ายตัวแทนในแต่ละประเทศ เพื่อประสานงานและดูแลงานให้กับลูกค้าของบริษัทฯด้วยโครงสร้างราคาที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
อีกทั้ง LEO ในปี 2566 บริษัทฯมีแผนที่จะร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจการขนส่งทางบก ที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อให้บริการการขนส่งในลักษณะของ Green Logistics ที่จะให้บริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน (Sustainability) โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission) โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถลดภาวะโลกร้อนและเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการของบริษัทฯ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกหลายประเทศ เช่น เป็นประเทศกัมพูชา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/2566 และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาสที่ 3-4/2566 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV ใหม่ๆและ M&A ทั้งหมดนี้ประมาณ 300-700 ล้านบาทในอีก 1-3 ปีข้างหน้า
"บริษัทฯเชื่อมั่นว่าในปี 2566 LEO จะยังคงรักษาระดับการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางไปยังประเทศจีนนับตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/2566 รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการ JV ใหม่ๆที่เป็น Non Freight และ M&A ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งจะทำให้รายได้ กำไรขั้นต้นและผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง" นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด