นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 13 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 หรือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และกำไรสะสม ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.13093 บาท และจะจ่ายเงินคืนทุนครั้งที่ 3 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 หรือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.040 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 8 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 22 มีนาคม 2566
เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 13 ครั้ง คิดเป็นเงิน 2.58716 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินคืนทุนไป 3 ครั้ง คิดเป็นเงิน 0.220 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินคืนทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 2.80716 บาทต่อหน่วย สำหรับสรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ปี 2565 พบว่ามีรายได้รวมเท่ากับ 187.2 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10.0% จากไตรมาสก่อน ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 144.3 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10.0% จากไตรมาสก่อน สำหรับปี 2565 กองทุนมีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 631.4 ล้านบาท ลดลง 3.7% จากปีก่อน โดยในปี 2565 กองทุนมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกน้ำท่วมในปี 2563 ที่โครงการหันทราย ซึ่งบันทึกเข้ามาตามความคืบหน้าของงานที่จำนวน 19.8 ล้านบาท (จากจำนวนเงินตามแผนการเปลี่ยนแผงทั้งหมดที่อนุมัติที่ 20.4 ล้านบาท) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และอยู่ระหว่างการติดตามค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทรับประกันภัย ทั้งนี้ กองทุนมีอัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ 79.0% เพิ่มขึ้นจาก 78.8% ในปีก่อน
ทั้งนี้ กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต