"บมจ.โรแยล พลัส" หรือ PLUS โชว์ผลงานปี 65 กำไรสุทธิอยู่ที่ 207.6 ลบ. เติบโต 142.5% รายได้รวม 1,457.4 ลบ.เพิ่มขึ้น 44.4% เทียบกับปีก่อน โดยคำสั่งซื้อน้ำมะพร้าวยังสดใส จ่ายปันผลหุ้นละ 0.13 บาท ตอบแทนผู้ถือหุ้น ขึ้น XD วันที่ 13 มี.ค. 66 จ่ายเงินปันผล 17 พ.ค. 66 "พลแสง แซ่เบ๊" แม่ทัพใหญ่ เปิดแผนธุรกิจปี 66 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ตั้งเป้ารายได้โต 30% ทำสถิตินิวไฮใหม่ ลุยขยายตลาดตามแผน ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มกำลังผลิต ลงทุนสายการผลิตขวดพลาสติก (PET) ล่าสุดอยู่ระหว่างรอเครื่องจักรเข้ามา คาดภายในช่วงปลายไตรมาส 2/66 เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 ออกมาเป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไร มีกำไรสุทธิ 207.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122 ล้านบาท หรือร้อยละ 142.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 85.6 ล้านบาท มีรายได้รวม 1,457.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 447.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.4 เทียบกับปีก่อน ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลูกค้ามีคำสั่งซื้อล่วงหน้าและมีการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าเป็นไปตามแผนที่กำหนด ถึงแม้ว่าสถานการณ์ยอดขายในประเทศจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ Zero-COVID ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ประมาณการไว้ แต่สินค้าของ PLUS ก็ยังได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของลูกค้าในทวีปอเมริกาเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ยอดการขายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีกำไรขั้นต้น 425.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.3% เทียบกับปีก่อน สอดคล้องกับยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 29.8% เพิ่มขึ้นจาก 9.2% ในปี 2564 ขณะที่มีอัตรากำไรสุทธิ 14.2% เพิ่มขึ้น 67.1% จากอัตราส่วน 8.5% ในปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของยอดขาย และการควบคุมต้นทุนการขายและค่าใช้จ่ายการบริหารรวมถึงต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
"ภาพรวมการดำเนินงานของ PLUS ในปี 2565 เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้รวม กำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับปี 2564 และเป็น New High ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมา ซึ่งยังมีปัจจัยทั้งในประเทศและในต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง และยังส่งผลกระทบในอนาคตอันใกล้นี้ เช่น การเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยอัตราเงินเฟ้อ การเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ สงครามรัสเซีย-ยูเครน การผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ของจีน และการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการติดตามปัจจัยดังกล่าวและจะปรับกลยุทธ์ในการจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้การดำเนินการของ PLUS เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป" นายพลแสง กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯด้วยดีเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 เพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.13 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นราว 87.1 ล้านบาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 13 มีนาคม 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2566
ปัจจุบัน PLUS มีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศกว่า 99% กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น พร้อมเตรียมบุกตลาดขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคมากขึ้น โดยจุดเด่นของ PLUS ดึงเอกลักษณ์ของน้ำมะพร้าว และน้ำนมมะพร้าวของดีขึ้นชื่อเมืองไทย ที่มาพร้อมรสชาติสุดพิเศษ กลั่นกรองด้วยการผลิตนวัตกรรมชั้นเลิศ พร้อมโปรดักส์ใหม่ เครื่องดื่มที่ทำจากพืช (Plant-Based) หรือเครื่องดื่มโปรตีนจากพืชต่อยอดการเติบโต เช่น "โคโคนัท โยเกิร์ต" ผลิตจากน้ำนมมะพร้าวที่มาจากธรรมชาติ 100% ตอบโจทย์เทรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการขายเติบโตที่ระดับ 30% ซึ่งถือเป็นรายได้ที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่องจากปี 2565 จากการขยายช่องทางการจำหน่าย ทั้งจากลูกค้าเดิมที่มีอยู่ และลูกค้าใหม่ๆ ที่เข้ามาเพิ่ม และมีการออกผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ๆ ในปี 2566 รวมทั้งมีการปรับบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ใหม่ๆ เพื่อรองรับการขยายตลาดใหม่ด้วย
"เชื่อว่าในปี 2566 ภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มประเภทน้ำมะพร้าวยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตหลักๆ จะมาจากตลาดเครื่องดื่มประเภทน้ำมะพร้าวของโลกยังมีอัตราการเติบโตกว่า 17%-20% ประกอบกับกลุ่มลูกค้ามีการขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย" นายพลแสง กล่าว
โดยในปี 2566 บริษัทจะมีการขยายตลาดตามแผนต่อเนื่อง ทั้งในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทั้งการเพิ่มช่องทางใหม่ ๆ ผ่าน Distributor รายเดิม และการหา Distributor รายใหม่ ๆ รวมถึงการปรับ Packaging เพื่อรองรับการขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรองรับการขยายตลาดด้วย อีกทั้งยังมีตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งมีการขยายตลาด และหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้มากขึ้น
ส่วนตลาดเอเชีย บริษัทจะเน้นสร้างแบรนด์ของบริษัทเองมากขึ้น ขณะที่ตลาดยุโรป ถือเป็นตลาดสดใหม่ของ PLUS โดยจะเน้นสินค้าใหม่เพื่อสุขภาพ (Plant Based) นอกจากนี้ยังมีตลาดจีน และตลาดไทย จะเน้นขยายช่องทางการจำหน่าย และทำการตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างแบรนด์
ขณะที่โครงการลงทุนสายการผลิตขวดพลาสติก (PET) ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเครื่องจักรเข้ามา คาดว่าภายในช่วงปลายไตรมาส 2/2566 จะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งเครื่องจักรดังกล่าวจะเป็นเครื่องจักรที่ทันสมัยสามารถรองรับการผลิต ทั้งสินค้าเดิม และสินค้าใหม่ ๆ ของ PLUS ได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเครื่องจักรใหม่ทำให้ต้นทุนการผลิตของ PLUS ลดลง ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นและรองรับการเติบโตในอนาคตอีกด้วย