SCB CIO คาดการณ์เงินดอลลาร์สหรัฐ มีทิศทางแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เมื่อFed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง กดดันเงินบาทอ่อนค่า แนะเร่งใช้จังหวะนี้กระจายพอร์ตลงทุนต่างประเทศด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่จูงใจกว่าลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว แนะนำ 4 ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ ทั้งเงินฝาก หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง 2 สไตล์ และกองทุนรวมที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณว่าจะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้คาดว่า เงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น อย่างน้อยไปจนถึงช่วงที่ Fed ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยอยู่ แต่หลังจาก Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ซึ่ง SCB CIO คาดว่า จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ของสหรัฐฯ ปีนี้ ไปอยู่ที่ 5.25% อาจจะได้เห็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กลับทิศทางเป็นอ่อนค่าลงอีกครั้ง ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดว่ามากกว่า 6 เดือน
ทั้งนี้ การที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในระยะสั้น ขณะที่อีกปัจจัยหนึ่งเป็นผลจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังเกินดุลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งโดยปกติดุลบัญชีเดินสะพัดมีความสัมพันธ์ (Correlation) ที่มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินบาท คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินบาทแข็งค่า ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล เงินบาทจะอ่อนค่า
อย่างไรก็ตาม ในระยะกลาง-ยาว ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย มีแนวโน้มที่จะเกินดุลมากกว่านี้ จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากจีนเปิดประเทศ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาเที่ยวไทยรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้สำนักวิจัยต่างๆ ปรับเพิ่มประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อเนื่อง เช่น SCB EIC ที่ล่าสุดปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2566 เพิ่มเป็น 30 ล้านคน จากเดิม 28.3 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาอยู่ที่ระดับก่อนเกิดโควิดในช่วงปลายปี 2567 ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่ามากขึ้น ซึ่ง SCB CIO คาดการณ์ว่า สิ้นปี 2566 เงินบาทน่าจะอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"ในช่วงเวลานี้เงินดอลลาร์สหรัฐ ยังแข็งค่าและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าระยะสั้น SCB CIO มองว่า หากเงินบาทอ่อนค่าไม่เกิน35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ยังเป็นจังหวะที่ดีในการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ สำหรับลงทุนในต่างประเทศด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์ที่น่าสนใจกว่าการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยจากข้อมูลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถูกยกให้เป็น อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (risk free rate) ในเดือน ก.พ. 2566 สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทยมากพอสมควร โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 1 เดือน - 1 ปี ของสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงอายุเดียวกัน ให้ผลตอบแทนในระดับที่ต่ำกว่า 2% เท่านั้น" นายศรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีผลิตภัณฑ์การลงทุนหลากหลายรูปแบบที่รองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในจังหวะที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า โดยผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมี 4 ประเภท ได้แก่
คำเตือน
- กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ (SCBFST) มีความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ
- กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเป็นตราสารที่มีความซับซ้อนมากกว่าหุ้นกู้ทั่วไป เนื่องจากเป็นตราสารที่ประกอบด้วยตราสารหนี้และอนุพันธ์แฝง โดยการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงจะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องหลายด้าน เช่น ความเสี่ยงของปัจจัยอ้างอิง ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร เป็นต้น ผู้ลงทุนความทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน
- การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ไม่ใช่เงินฝาก และธุรกรรมการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากแต่อย่างใด จึงมีความเสี่ยงของการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และการขายคืนเป็นไปตามเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์การลงทุนตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะตราสาร หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์