นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า จากการออกเสนอขายกองทุนช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ พบว่านักลงทุนยังมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยต่อการลงทุน ควบคู่ไปกับโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าและต่อยอดกับแผนกลยุทธ์การลงทุนกับตราสารหนี้ ที่ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีตามปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ควบคู่ไปกับการลงทุนในสัญญาออปชั่น (Option) ของสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน โดยบริษัทฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนกับทองคำ ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีความผันผวนค่อนข้างต่ำ ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลัง ทองคำมีปัจจัยหนุนด้านราคาจากทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มกลับมาอ่อนค่าลง หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มส่งสัญญาณการชะลอหรือหยุดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงความชัดเจนของทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจจะชะลอตัวลง
บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขายกองทุน SCBDSHARC1YG หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YG ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นกองทุน Complex Fund อายุ 1 ปี ที่ยังเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และสัญญาออปชั่น (Option) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ Gold spot (XAUUSD) โดยจะแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนส่วนแรกในตราสารหนี้ ประมาณร้อยละ 98.60 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และจากการที่ตราสารหนี้มีความผันผวนต่ำ จึงเป็นการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้น และเมื่อถือครองครบกำหนดอายุกองทุน ก็ยังมีโอกาสได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมผลตอบแทน/ดอกเบี้ย สำหรับเงินลงทุนส่วนที่สองสัดส่วนร้อยละ 1.40 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จะเป็นการลงทุนในสัญญาออปชั่น (Option) ที่อ้างอิงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ Gold spot (XAUUSD) มาใช้เป็นส่วนสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุน โดยมีลักษณะการจ่ายผลตอบแทนของสัญญาแบบ twin -win ซึ่งจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุดที่เป็นไปได้ที่ 8.4% จากการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามกรอบสูงสุดของดัชนีอ้างอิงที่ 12% เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา แต่หากดัชนีอ้างอิงมีการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงที่เกินกว่า 12% ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนชดเชยที่ 0.25% ได้เช่นกัน โดยกองทุนจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งเดียว ระหว่างวันที่ 1-14 มีนาคม 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท
นางนันท์มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า "แม้ ดอลลาร์สหรัฐฯ จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลออกในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มองว่าช่วงครึ่งหลังของปี เงินบาทไทยจะมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าได้จากการฟื้นตัวจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งขึ้นจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล และจำนวนเงินทุนที่มีโอกาสไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทยตามความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้น ในขณะที่ ด้านค่าเงินดอลลาร์เอง ก็ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะถัดไป จากท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED เข้าใกล้จุดสิ้นสุด แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เริ่มลดลง ซึ่งจะส่งผลราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจยังมีความผันผวนในระยะสั้นได้"