บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ "SVR" โชว์ผลงานปี 65 โตแกร่ง! ท็อปฟอร์ม สร้างสถิติ นิวไฮ กวาดรายได้รวม 726.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.65% ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 227.47 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นจากการพัฒนาโครงการเพื่อขายเพิ่มขึ้นเป็น33.96 % (จาก30.39%ในปี2564) อานิสงส์จากราคาขายและการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ส่งผลยอดขายเป็นไปตามเป้า ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า)ของกลุ่ม Real Demand ด้านผู้บริหาร "รณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์" ประกาศเดินเกมรุก จ่อเปิดตัว 3 โครงการใหม่ในปีนี้ ปักมุด โซน บางกรวย-ไทรน้อย, วงแหวนกาญจนาภิเษก และ ซอยประชาอุทิศ 76 มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท พร้อมขยายฐานเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยหลากหลายระดับ สอดรับแผนสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth พร้อมมั่นใจปี 2567 รายได้สร้างนิวไฮต่อเนื่อง
นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy เป็นรายแรกในประเทศ ภายใต้แนวคิด "Best Smart Living" เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี2565 บริษัทฯประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวมที่ 726.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.65% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 564.46 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จาการขายอสังหาริมทรัพย์ 98.30 ล้านบาท และจากการขายที่ดินไม่ได้ใช้ประโยชน์ 67.80 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 58.24 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 63.35 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเกิดจากบริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายการตลาดเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ถึง3โครงการซึ่ง2ใน3โครงการเปิดตัวในช่วงปลายปีขณะที่รับรู้รายได้ไม่ทัน แต่หากพิจารณากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 227.47 ล้านบาท ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นรวมและจากการพัฒนาโครงการเพื่อขายเพิ่มขึ้นเป็น31.37%และ33.96 % (จาก30.39%ในปี2564) เป็นผลจากการกำหนดราคาขายและการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี
ทั้งนี้ จากความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้น เป็นไปตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งจะเห็นได้จากรายได้จากโครงการเพื่อขายในปี 2565 จำนวน 657.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.53 หรือ 98.03 ล้านบาท จาก 559.25 ล้านบาท ในปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการรับรู้รายได้ในปี 2565 จาก 7 โครงการ ขณะปี 2564 รับรู้รายได้ 5 โครงการ โดยมีรายได้ส่วนใหญ่จากการขายโครงการสิวารมณ์ แกรนด์ (สุขุมวิท-บางปู) จำนวน 279.63 ล้านบาท และโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-เทพารักษ์) จำนวน 200.19 ล้านบาท ปาร์ค (สุขุมวิท-บางปู) จำนวน 16.28 ล้านบาท ซึ่งได้มีการปิดการขายภายใน ปี 2565 และโครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565 จำนวน 3 โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) จำนวน 52.90 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้เดือนธันวาคม 2565, โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส (อัสสัมชัญ-ศรีราชา) จำนวน 47.01 ล้านบาทเริ่มรับรู้รายได้ปลายไตรมาส3/2565 และโครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท - บางปู) เริ่มรับรู้รายได้เดือนตุลาคม 2565 จำนวน 40.47 ล้านบาท
"สำหรับภาพรวมปี 2565 ต้องยอมรับว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับความท้าทาย จากสถานการณ์ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงมีการชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ด้วยแผนการวางกลยุทธ์การตลาดผ่านการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ในระดับราคา 1-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม Real Demand สูง เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า) ส่งผลให้ทุกโครงการของ SVR ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้น"
นายรณฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่ประเทศจีนได้เปิดประเทศ ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ซึ่งก็จะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มีดีมานด์เพิ่มขึ้น สอดรับแผนธุรกิจปี 2566 ของบริษัทฯที่เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,600ล้านบาท ประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ SVR มีแผนขยายการพัฒนาโครงการเข้ามาในพื้นที่ใกล้โซน CBD ของกรุงเทพมากขึ้น จากเดิมที่พัฒนาโครงการในโซนพื้นที่ปริมณฑลเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินค้า อีกทั้งยังขยายฐานกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยระดับบน ภายใต้การพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยมบนบ้านระดับราคาที่สูงขึ้นแตะระดับ 12 ล้านบาท จากเดิมที่เราพัฒนาโครงการระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต
เนื่องจากมองว่าลูกค้าระดับดังกล่าว เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ขอสินเชื่อผ่านง่าย มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นบริษัทฯ จึงมองว่าฐานลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังมีดีมาด์สูง ที่สามารถเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต ที่สำคัญยังสามารถสร้างการเติบโตรายได้ในปี 2567 ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างยั่งยืนในอนาคต