PRTR เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 7.2 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 8 - 10 มีนาคมนี้ มั่นใจผลตอบรับดี จากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง เป็นผู้นำ Total HR Solutions พร้อมนำเงินระดมทุนรองรับการเติบโตของธุรกิจหลัก และการต่อยอด S-Curve ใหม่ๆ ประเดิมข่าวดี ด้วยการประกาศร่วมทุนกับพันธมิตร ขยายการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ Human Capital Management หนุนความครบวงจร และเข้าไปสู่ธุรกิจไฮมาร์จิ้น
บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ในครั้งนี้ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด , บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 7.2 บาท จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 8 -10 มีนาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 15 มีนาคม 2566 ในหมวดธุรกิจบริการเฉพาะกิจ (PROF)
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 7.2 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ประมาณ 16.3 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565) ซึ่งเท่ากับ 199.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 450.0 ล้านหุ้น ทั้งนี้ PRTR พิจารณานำ P/E ของ คู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 30 ถึง 120 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2565 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบซึ่งมีค่าเฉลี่ย P/E อยู่ระหว่าง 27.7 - 28.6 เท่า
อย่างไรก็ดี PRTR พร้อมเดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทชั้นนำในการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลรายใหญ่ในประเทศ ที่ให้บริการแบบครบวงจร มีลูกค้ากระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีพนักงานทุกระดับ ด้วยลักษณะธุรกิจรายได้เป็นแบบ Recurring Income ทำให้มีความยั่งยืนในการรับรู้รายได้ ขณะที่ธุรกิจหลักทางด้าน Outsource มีความแข็งแกร่ง มีกลุ่มลูกค้าหลักที่ใช้บริการ PRTR อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายปีและมีการต่ออายุสัญญากับ PRTR มาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทฯ ใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพ และรองรับการต่อยอดธุรกิจแบบ S-Curve รวมทั้ง ความพร้อมในการเติบโตไปกับอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ รวมทั้ง ธุรกิจไอที และอีคอมเมิร์ซ ทำให้แม้ในช่วงโควิด PRTR สามารถรักษาการเติบโตได้ในทุกปี และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น
ด้าน นางสาวริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR กล่าวว่า PRTR คือผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลอย่างครบวงจร (Total HR Solutions) ก่อตั้งมาแล้ว 30 ปี กลุ่มผู้บริหารถือเป็นกลุ่มผู้ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริการจัดหาและสรรหาพนักงาน และเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ทำให้ PRTR สามารถก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการจัดจ้างพนักงาน (Outsourcing Services) และสรรหาบุคลากร (Recruitment Services) ชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน PRTR มีพนักงานในบริษัทมากกว่า 500 คน มีบุคลากรในกลุ่มธุรกิจ Outsource ราว 15,000 คน และการให้ความสำคัญกับระบบฐานข้อมูลทำให้มีจำนวนผู้สมัครที่เป็นกลุ่ม Active Candidate ในระบบมากกว่า 500,000 คน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสรรหาและให้บริการได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ PRTR จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 1,042 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้สำหรับจ่ายคืนหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 521 ล้านบาท เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 521 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายธุรกิจ เนื่องจาก รูปแบบการดำเนินธุรกิจของ PRTR จะต้องจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนล่วงหน้าให้พนักงาน Outsource ก่อน และเรียกเก็บค่าดำเนินการจากลูกค้าภายหลัง ดังนั้น การมีกระแสเงินสดที่เพียงพอ จะทำให้ PRTR มีความพร้อมในการขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงมากขึ้น เช่น กลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยว และกลุ่มไอที
อีกทั้ง ด้วยวิสัยทัศน์ PRTR เป็นองค์กรด้านบุคลากรอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน PRTR ถือเป็นผู้นำในประเทศไทย และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการในหลากหลายธุรกิจ บริษัทฯ ต้องการยกระดับ PRTR ไปสู่สากล ให้เป็นที่รู้จักต่อลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เงินระดมทุนครั้งนี้ จึงเสริมแกร่งฐานทุน ปูทางสู่โอกาสใหม่ๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ ล่าสุด PRTR ได้ลงนามในสัญญาการร่วมลงทุนกับบริษัท ไอแอม คอนซัลติ้ง จำกัด โดยจะร่วมดำเนินธุรกิจ Human Capital Management Program ผ่านบริษัทย่อยคือบริษัท พินโน โซลูชั่นส์ จำกัด โดย PRTR ถือหุ้น 60% และ I AM ถือหุ้นอีก 40% ซึ่ง PINNO ได้จัดตั้งเรียบร้อยแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยความร่วมมือนี้จะรุกเข้าไปสู่ธุรกิจ software as a service เนื่องจากวันนี้ PRTR ให้บริการลูกค้าอยู่แล้ว แต่ในอนาคตถ้าลูกค้าต้องการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการบริหารงานด้าน HR ก็จะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ และเป็นธุรกิจที่เข้ามาเพิ่มความสามารถการทำกำไรในระดับสูง ซึ่งพาร์ทเนอร์ของ PRTR คือ I AM เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านไอที โดยเฉพาะการพัฒนาซอฟต์แวร์และให้คำปรึกษาด้านซอฟต์แวร์ และเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ "IPOP" ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ Human Capital Management ที่ PINNO จะซื้อเข้ามาเพื่อให้บริการธุรกิจใหม่นี้แก่ลูกค้าต่อไป กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ I AM คือกลุ่ม TIS INTEC Group ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในบริษัท IT ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจการบริหารและเป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คลาวด์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ โซลูชั่นทางธุรกิจในปี 2565 กลุ่ม TIS INTEC Group มีรายได้กว่า 120,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 10,000 ล้านบาทเป็นผู้ร่วมลงทุนที่ PRTR เห็นว่ามีศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจใหม่ร่วมกัน
ด้านผลการดำเนินงานของ PRTR ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะหดตัวจากสถานการณ์ COVID-19 แต่รายได้จากการให้บริการของ PRTR ระหว่างปี 2563-2565 ยังคงสามารถเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 12.1% มีรายได้จากการให้บริการ 4,866.3 ล้านบาท 5,555.9 ล้านบาท และ 6,111.7 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2563-2565 เท่ากับ 120.7 ล้านบาท 183.2 ล้านบาท และ 199.4 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้าในประเทศไทย
โดยสัดส่วนรายได้ปี 2565 แบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจ Outsource สัดส่วน 95.9% ธุรกิจ Recruitment 3.8% และ ธุรกิจ Integrated Learning Service 0.2% ของรายได้รวม และมีอัตรากำไรสุทธิ 3.3% มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 51.9% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นจากการขยายฐานรายได้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ 13 กุมภาพันธ์ 2566 และภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ประกอบด้วย กลุ่มคุณริศรา เจริญพานิช สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 21.4% และ 17.8% ตามลำดับ และกลุ่มคุณจารุวรรณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 22.4% และ 7.5% ตามลำดับ ส่วนที่เหลือคือผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
ทั้งนี้ ณ วัน IPO จะมีการซื้อขายหุ้น PRTR บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot) ในราคา IPO โดยบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) ตกลงจะซื้อหุ้น PRTR จำนวน 90,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ PRTR ภายหลัง IPO จากผู้ถือหุ้นเดิมของ PRTR จำนวน 3 ราย (คุณพอล เดวิด ชอนดี้, คุณจารุวรรณ พานิชเจริญ และ คุณริชาร์ด ฮิวจ์ เบนเนต) ในราคาเท่ากับราคา IPO และจะนำหุ้นของ PRTR ทั้งจำนวนดังกล่าวฝากในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อ้างอิงเกณฑ์ Silent Period ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย