บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป หรือ CWT อวดงบปี 65 กวาดรายได้การขายและบริการ 1,863.92 ล้านบาท มีผลกำไร 180.06 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เหตุธุรกิจเบาะหนังสำหรับเบาะรถยนต์ไปได้สวย แถมรายได้จากการขายเรือและรถโดยสารขนาดเล็กโตกว่า 197% และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บอร์ดใจดีปันผล 0.0535 บาท/หุ้น ด้านบิ๊กบอส "วีระพล ไชยธีรัตต์" ปักหมุดรายได้ปี 66 เติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อนจากคาดการณ์ 3 ธุรกิจเสาหลัก "เบาะหนัง-โรงไฟฟ้า-SKC" โตแกร่ง พร้อมตั้งเป้าตุน PPA มากกว่า 50 MW ภายในปีนี้ เพื่อเตรียม Spin Off ธุรกิจพลังงาน มุ่งสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CWT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในปี 2565 มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 1,863.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.66 ล้านบาท หรือ 6.19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,755.26 ล้านบาท
ขณะที่มีผลกำไรตามการแบ่งปันกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 180.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.91 ล้านบาท หรือ 4.59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลกำไร 172.15 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดต่อเนื่อง
"ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลักคือธุรกิจหนังที่ยังคงมั่นคงต่อเนื่อง โดยรายได้จากการขายสำหรับเบาะรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิตรถตามรุ่นที่ได้รับ และมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเป็นไปตามจำนวนเมกะวัตต์ที่บริษัทได้รับรวม 9.90 เมกะวัตต์ ส่วนรายได้จากการขายเรือและรถโดยสารขนาดเล็กอยู่ที่ 65.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 197% จากปีก่อน ประกอบกับด้วยการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.0535 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 33,710,517.35 บาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 16 มีนาคม 2566 ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2566 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเบาะหนังบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง และมีแผนการส่งมอบงานอย่างชัดเจน ขณะที่มีรายได้จากธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนธุรกิจ SKC มีแผนการส่งมอบงานตามกำหนดเช่นกัน ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลงานในปีนี้จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปีก่อน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายตุนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในมือ มากกว่า 50 MW ภายในปี 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการ Spin Off ธุรกิจพลังงานเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
อนึ่ง ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าที่ขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 9.90 เมกะวัตต์ และโครงการ ขนาดกำลังการผลิต 9.60 เมกะวัตต์ รูปแบบโรงไฟฟ้าชีวมวล ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว และมีโรงคัดแยกขยะเป็นเชื้อเพลิง RDF 1 แห่ง กำลังการผลิต 400ตัน/วัน อยู่ระหว่างพัฒนาเป็นโรงไฟฟ้าคาดสามารถ COD ได้ภายในไตรมาส 3/2566 ปัจจุบันได้สัญญาบริหารจัดการขยะแล้ว 25 ปี และล่าสุดได้รับคัดเลือกจากการยื่นข้อเสนอการดำเนินการคัดเลือกเอกชนดำเนินการก่อสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (RDF) และผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะมูลฝอยของเทศบาลตำบลกมลาไสย กำลังการผลิต 6.60 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาภายในเร็วๆ นี้ พร้อมกันนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีกหลายแห่ง