บมจ. คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. "K" เสิร์ฟข่าวดี ผลการดำเนินงานเริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก โชว์งบปี 2565 กวาดรายได้จากการให้บริการ 847.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวม 8% (YoY) หลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งในส่วนของธุรกิจ Interior และปิดกิจการบริษัทย่อยทั้งเมียนมาร์และกัมพูชา หนุน Q4/65 ทำกำไรได้สูงสุด แตะ 20.55 ล้านบาท ส่งผลให้ตัวเลขกำไรรวมทั้งปีพลิกเป็นกำไร 1.95 ล้านบาท สบช่องประกาศแจกวอร์แรนต์ฟรี "K-W2" จำนวนไม่เกิน 79,922,412 หน่วยให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 6 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ พร้อมประกาศเดินหน้าแผนปี 2566 ลุยรับงาน Interiors ที่เชี่ยวชาญ หมุนรอบเร็ว มาร์จิ้นสูง ควบคู่กับงาน Exhibition ประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ ดันรายได้ทั้งปีแตะ 780 ล้านบาท
บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) ("K") รายงานต่อตลาหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลประกอบการงวดปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 847.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% (YoY) ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากงานแสดงสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่มียอด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 277.88 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นรวม 48% (YOY) จากงานกิจกรรมทางการตลาดที่เริ่มฟื้นตัว
ขณะที่สายงานธุรกิจก่อสร้างตกแต่งภายใน (Interior) มีสัดส่วนลดลงกว่า -44% เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับโครงสร้าง เพื่อให้สอดรับกับภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยเน้นรับงานโครงการที่มีขนาดเล็กลง และเน้นรับงานในกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) ที่สามารถบริหารจัดการได้ทั่วถึง ส่งมอบงานได้ตามกำหนดและเน้นทำกำไรให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้แผนการปรับกลยุทธ์ โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจก่อสร้างตกแต่งภายใน (Interior) และปิดกิจการบริษัทย่อยทั้งเมียนมาร์และกัมพูชา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 มีกำไร 20.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสะท้อนถึงปี 2565 ให้พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ ที่ระดับ 1.95 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของ บมจ.คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. ครั้งที่ 2 ("K-W2") จำนวนไม่เกิน 79,922,412 หน่วยให้ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตรา 6 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดย"K-W2" จะมีอายุ 1 ปี นับแต่วันที่ออกและเสนอขาย สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในทุกๆ 3 เดือน และมีราคาใช้สิทธิเท่ากับ 0.80 บาทต่อหุ้น
และที่ประชุม ยังมีมติพิจารณาอนุมัติยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ ของบริษัท ("หุ้นกู้แปลงสภาพ") มูลค่าการออกเสนอขายรวมไม่เกิน 300 ล้านบาท ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Advance Opportunities Fund ("AO Fund") และ Advance Opportunities Fund 1 ("AO Fund 1") เนื่องจากมองว่า การเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าว มีมูลค่าสูง และระยะเวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นบริษัทฯจึงมีมติอนุมัติเห็นควรให้ยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ดังกล่าว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และต่อผู้ถือหุ้นในอนาคต
ส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2566 นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ "K" เปิดเผยว่า ภายหลังการเศรษฐกิจได้กลับมาฟื้นตัว งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions) และธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors) กลับมาคึกคักขึ้น ดังนั้นในปีนี้ บริษัทฯจึงปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในส่วนงาน Interiors โดยลดขนาดงานลง หันมาเน้นรับงานระยะสั้น-ระยะกลางมากขึ้น รวมถึงจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มากขึ้น อาทิ งานประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง) โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้หันมาให้บริการกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่างานประเภทดังกล่าว อยู่ในกรอบระยะเวลาในการการดำเนินงานไม่นานเกินไป ซึ่งสามารถหมุนรอบของกระแสเงินสดที่ไว และมีมาร์จิ้นที่ดี
ขณะเดียวกันในช่วงเดือนมีนาคม 2566 "K"จะมีงานโปรเจกต์ Motor Show ในส่วนการจัดบูธพิเศษเท่านั้น โดยเบื้องต้นได้วางเป้าหมายจะมีรายได้จากงานดังกล่าว ประมาณ 100 ล้านบาท และบริษัทฯคาดว่ามีงานโปรเจกต์ใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานอีกกว่า 10 ราย และคาดว่าจะสามารถสรุปดีลใหม่ได้ในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมธุรกิจในปี 2565 ที่เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก ประกอบกับแผนเดินเกมรุก ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทฯเชื่อมั่นว่า ในปี 2566 "K" จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ ได้อีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ แตะระดับ 850 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ มาจาก 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 15-20% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์) ซึ่งล่าสุด บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 400 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปี 2566 เกือบทั้งหมด