นักลงทุนรุ่นใหม่ ประเมิน FED มีโอกาสที่จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% อีกครั้งในการประชุมปลายเดือนมีนาคมนี้ ทำให้ทุกสินทรัพย์ถูกเทขาย อย่างไรก็ตามหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจในการลงทุน ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม มีความเสี่ยงเพิ่มที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ในอสังหาริมทรัพย์ แต่ระยะยาวเชิงพื้นฐานยังน่าสนใจ ด้านทองคำ แนะจับตาแนวรับที่ 1,800 ดอลลาร์ ถ้าหลุดจากนี้ให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ขึ้นให้การกับสภาครองเกสในคืนวันที่ 7 มี.ค. 66 ซึ่งระบุว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ และตัวเลขการจ้างงานในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดหมาย จึงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการประชุม FOMC ในครั้งถัดไป วันที่ 21 - 22 มี.ค. 66 อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าที่เคยคาดไว้ เพื่อที่จะสะกัดเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่อัตรา 2%
ก่อนหน้านี้ ตลาดคาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% ในการประชุมรอบหน้า แต่ล่าสุด FED Watch ได้แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 50% แล้ว จากก่อนหน้านี้ที่ยังอยู่ที่ระดับ 30% นอกจากนี้ ตลาดยังมีการปรับมุมมองใหม่ที่คาดการณ์ว่าจะเห็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 5.2% ในปีนี้ เพิ่มมาเป็นระดับ 5.5% เท่ากับว่าโอกาสที่จะได้เห็นการลดดอกเบี้ยในปีนี้ลดน้อยลงอย่างมาก
"ผลจากการขึ้นให้การเรื่องนโยบายเศรษฐกิจต่อครองเกสเมื่อคืน ทำให้ดัชนี Dollar Index แข็งค่าขึ้นทันทีกว่า 1.3% สูงที่สุดในรอบหนึ่งเดือน และยังทำให้ ทองคำ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามดัชนี รวมถึงน้ำมันและบิทคอยน์ ถูกเทขายอย่างหนักต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์"
อย่างไรก็ดี ถ้ามองในเชิงปัจจัยพื้นฐานหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งกลุ่ม Big Cap อย่างเช่น FAANGMAN รวมถึงกลุ่มหุ้น Disruptive Technology ต่าง ๆ ยังถือว่าน่าสนใจในการลงทุน โดยหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Meta Amazon Alphabet ฯลฯ หลังจากที่มีการปลดพนักงานชุดใหญ่ออกไปจะช่วยให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง ตลอดจนธีมของการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอจะเป็นสตอรี่สำคัญที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบิ๊กแคปให้ปรับตัวขึ้นต่อไปได้ รวมถึงหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อย่าง NVIDIA ที่ได้รับประโยชน์เต็ม ๆ
ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กบางกลุ่มได้รับประโยชน์จากการที่ทั่วโลกหันมาเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว เช่น หุ้นกลุ่ม Travel Tech ที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นชัดเจน ภายหลังจีนเปิดให้นักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยวได้ หรือ หุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซ ที่เคยขาดทุนหนัก ๆ ตอนนี้เริ่มปรับโมเดลหันมามุ่งเน้นผลกำไรแล้ว รวมถึงหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่ฟื้นตัวได้อย่างดีนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จึงมองว่านักลงทุนสามารถจับจังหวะเข้าลงทุนระยะยาวได้หากราคาหุ้นถูกเทขายลงมา
ส่วนหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวลงมารอบนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากนักลงทุนมีความกังวลว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และล่าสุดอาจมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ เพราะในเชิงพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ และที่สำคัญ ค่า P/E ยังอยู่ในระดับที่ถูก จึงสามารถหาโอกาสลงทุนระยะยาวต่อไปได้ โดยแนวรับที่น่าสนใจจะอยู่ที่ 973 จุด
ด้านราคาทองคำ แม้จะได้รับผลลบโดยตรงจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น แต่ยังมองว่าถ้าเงินเฟ้อสามารถทรงตัวไม่สูงไปกว่านี้ "ทองคำ" ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ จึงพอที่จะเข้าไปลงทุนได้แต่ต้องอาศัยกราฟเทคนิคเป็นหลักโดยมองแนวรับแถว 1,788 - 1,804 ดอลลาร์ แต่หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,747 ดอลลาร์ และแนะนำให้ชะลอการลงทุนไปก่อน
นายณพวีร์ กล่าวว่า ส่วน "บิทคอยน์" ถูกเทขายลงมาตามกระแสฟันด์โฟลว์ และข่าวที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯ จะมาควบคุมตลาดคริปโตมากขึ้น ระยะสั้นจับตาที่แนวรับ 21,500 ดอลลาร์ ถ้ายังรักษาระดับนี้ไว้ได้ก็มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ ส่วนตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยียังสามารถที่จะลงทุนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คืนวันที่ 8 มี.ค. 66 ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีกำหนดที่จะให้การถึงภาวะเศรษฐกิจต่อครองเกรสต่อ ต้องมาจับตาดูว่าท่าที หรือ ข้อความ ที่สื่อสารออกมาจะเปลี่ยนแปลง หรือไม่ ก่อนจะมีการประชุม FOMC อีกครั้งในปลายเดือนมีนาคม
"ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป คือการประกาศตัวเลข CPI ของเดือนกุมภาพันธ์ที่จะมีขึ้นวันที่ 14 มี.ค. หรือ สัปดาห์หน้านี้ ถ้าหากยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นไปได้ว่าตลาดอาจจะตอบรับในเชิงลบไม่มากนัก เพราะตลาดรับรู้ไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ถ้าเงินเฟ้อลดลงค่อนข้างมากอาจเป็นผลบวกต่อตลาด"