บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ในการออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2566 มูลค่าเสนอขายรวม 5,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจนและยั่งยืน
ด้าน Group CEO "จรีพร จารุกรสกุล" มั่นใจปี 2566 บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมุ่งการขยายธุรกิจและยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆ ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยื่น โดยธุรกิจโลจิสติกส์ปีนี้จะมีการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปยังอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ทางด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีการตั้งเป้าขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ธุรกิจสาธารณูปโภคมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนของธุรกิจไฟฟ้ามุ่งการขยายธุรกิจ พร้อมทั้งการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ สำหรับธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นผู้นำในการทรานฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ พร้อมเตรียมเสนอขายทรัพย์สินเข้ากอง WHART ในช่วงปลายปีนี้
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ให้การตอบรับอย่างดีเยี่ยมสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2566 ของบริษัทฯ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท หลังจากที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 23-24 และ 27 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 3 ราย ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารยูโอบี ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวได้แบ่งเป็น 2 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 3,800 ล้านบาท มีอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 จำนวน 1,200 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.35 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2571 สะท้อนถึงความความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะความเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัลโซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม อันเป็นผลมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ มีแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่อง ชัดเจนและยั่งยืน รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และการมีวินัยทางการเงิน ทำให้ตอบโจทย์ความน่าเชื่อถือของกลุ่มนักลงทุน สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน/เงินลงทุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ
ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ A- แนวโน้ม "คงที่" เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและไฟฟ้า ตลอดจนความยืดหยุ่นทางการเงินจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีกด้วย
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2566 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าพัฒนาใน 4 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายธุรกิจในประเทศไทยไปพร้อมกับการมองหาโอกาสใหม่ในต่างประเทศ รวมถึงการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยธุรกิจโลจิสติกส์ปีนี้จะมีการส่งมอบโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปยังอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเฮลธ์แคร์ รวมถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ อาทิ Quantum Computing, Internet of Things (IOT), Data Analytics เป็นต้น และการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Green Logistics พร้อมกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มเติม โดยในประเทศไทยบริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างใหม่ 2 แห่งได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 และมีแผนขยายนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 สำหรับในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้เร่งการก่อสร้างเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน ในเฟส 2 หลังจากได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน ในเฟส 1 รวมถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง ได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam ตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยและการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ธุรกิจสาธารณูปโภคมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ ได้เปิดดำเนินการโครงการโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนของธุรกิจไฟฟ้ามุ่งการขยายธุรกิจ การนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) สำหรับธุรกิจดิจิทัลจะยังคงเป็นผู้นำในการทรานฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร โดยช่วยเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึง ความปลอดภัยด้านดิจิทัล รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร รวมถึงการดึงดูดลูกค้ารายใหม่ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งรองรับการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) ภายในไตรมาส 4/2566 ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการเป็น "The Ultimate Solution for Sustainable Growth" โดยการยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ ผ่านการพัฒนาโซลูชั่นตามแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหลัก ผสมผสานแพลตฟอร์มทางธุรกิจ (Business Platform) เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเดิม (Infrastructure Base) เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน