REAL ASSET ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ผุดทั้งแนวสูง-แนวราบรวม 4 โครงการ มูลค่าทั้งสิ้นกว่า 5,900 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ "ARLO LASALLE 17" และ "VIVALDI Bangna" พร้อมปรับกลยุทธ์การเติบโตเร็วขึ้นเล็งขยายสู่โครงการลักษณะ M&A และ Recurring Income เพื่อเสริมสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ คาดปี 2567 ทำสถิติ New High รายได้สูงถึง 7,000 ล้านบาท อีกทั้งเพิ่มกลยุทธ์ทางธุรกิจจับมือพันธมิตรใหญ่จากญี่ปุ่น "SOTETSU"
ลุยลงทุนต่อ 3-5 ปี
นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ REAL ASSET บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมมาแล้วมากกว่า 20 โครงการ เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 นี้ ว่า บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการรวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 5,900 ล้านบาท ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง (คอนโดมิเนียม) จับกลุ่มตลาดกลางถึงตลาดบน ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาโครงการเองและแบบ M & A (Mergers and Acquisitions ) พร้อมทั้งยังมองหาโอกาสขยายสู่การพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) เพื่อเสริมสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการแนวราบ วางแผนเปิดตัวทั้งสิ้น 2 โครงการ ในช่วงครึ่งหลังของปี คือ
ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเบื้องต้นมีแผนจะเปิด 2 โครงการ คือ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท โซเทสึ เรียลเอสเตท (SOTETSU) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sotetsu Group ที่ดำเนินธุรกิจรถไฟและรถบัส ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต และธุรกิจโรงแรมโดยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น และมีประสบการณ์ดำเนินงานมาประมาณ 70 ปีในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ขณะนี้ ได้ร่วมลงทุนในโครงการ A Space Mega ,โครงการ THE STAGE Mindscape Ratchada - Huaikhwang และ โครงการ VIVALDI Bangna รวมทั้งมีเป้าหมายจะพัฒนาโครงการใหม่ร่วมกันอีกในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่สะสมมานานของ SOTETSU ที่จะมาช่วยยกระดับที่อยู่อาศัย ผ่านการออกแบบดีไซน์ ,ฟังก์ชัน , Innovation และ Sustainability
บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยยังมีทิศทางที่เติบโตและผู้บริโภคยังมีความต้องการ เพราะที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังเผชิญกับปัจจัยลบที่ต้องระมัดระวังในการกำหนดนโยบายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ราคาต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น และ ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีทิศทางปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อธุรกิจ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนและส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ธุรกิจต่างๆ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมไปถึงการเปิดประเทศ ที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทย
"บริษัทฯ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2566-2568) จะพัฒนาโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสมดุลของรายได้ ระหว่าง รายได้จากการโอน และ Recurring Income ทั้งนี้ตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะสร้างรายได้จาก Recurring Income จากการพัฒนา 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท โดยปี 2565 บริษัททำยอดขายได้ทั้งสิ้น 2,288 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปี 2566 อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมากว่า 50% ทั้งนี้ยังวางแผนนโยบายเชิงรุกจากการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูง จากโครงการที่เปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ยอดขายและรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยใน 3 ปีข้างหน้านี้ (ปี2566-2568) บริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการ โดยเป้ายอดขายตั้งไว้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนรายได้นั้นจะเริ่มเห็นชัดขึ้นในปี 2567 ที่คาดการณ์ว่าจะมีรายได้ถึง 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นสถิติ New High ที่จะเกิดขึ้นของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ มี Backlog รองรับการรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทและคาดการณ์ว่า จะสร้าง Backlog เพิ่มในช่วงปีนี้และปีถัดไปรวมอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการโอนในอนาคต" นายบดินทร์ธร กล่าว