บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ "BTG" ประกาศแผนกลยุทธ์ก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับสากล เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตรับดีมานด์ในประเทศ พร้อมขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ ปักธงการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและช่องทางจำหน่าย ดันพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์พรีเมียมโต เผยสถานการณ์ราคาสุกรมีชีวิตและไก่เนื้อเริ่มปรับขึ้น วางเป้าหมายยอดขายโต 5-10% สร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า ภาพรวมการบริโภคอาหารปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลายและมีดีมานด์เพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและทำให้อัตราการบริโภคขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในระยะสั้นสถานการณ์ราคาสุกรมีชีวิต จะมีความผันผวนได้บ้างเนื่องจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมาถึงต้นปีนี้มีการลักลอบนำเข้าสุกรตัดแต่ง และมีการเพิ่มน้ำหนักของสุกรขุน ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างราคาสุกรในประเทศไทย อย่างไรก็ตามปัจจุบันทิศทางราคาสุกรเริ่มปรับตัวดีขึ้น และจะกลับมามีสเถียรภาพหากมีการบริหารซัพพลายที่ดี
ขณะที่แนวโน้มราคาและการส่งออกไก่เนื้อ คาดการณ์ว่าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่ชะลอตัว จากปัจจัยดังกล่าว เบทาโกรจึงวางกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับสากล เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) มุ่งขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรากฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีความแข็งแกร่ง รองรับกับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะลงทุนขยายกำลังผลิตในโรงงานแห่งใหม่ และการปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรองรับกับโอกาสการขายที่เพิ่มมากขึ้น
2) สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่าย เบทาโกรมุ่งให้ความสำคัญการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนที่มีมูลค่าเพิ่ม ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ไก่และสุกร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างการเติบโตในปีนี้ อีกทั้งยังมุ่งขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความเร่งรีบ จึงทำให้ตลาดมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายกลุ่มอาหารสำเร็จรูปจะมีสัดส่วนรายได้เกือบ 10% ในปี 2568 จากปี 2565 อยู่ที่ 5% พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ สู่ช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ช่องทางผู้ให้บริการด้านอาหาร ช่องทางจัดจำหน่ายของเบทาโกรช็อป และร้านเบทาโกร เดลี่ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
3) มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เบทาโกรนำความแข็งแกร่งของศูนย์วิจัยและพัฒนา (Research and Development Center-RDC) และศูนย์นวัตกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มธุรกิจมุ่งวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน โดยศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation Center - FIC) ซึ่งมีแบรนด์ S-Pure เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ซุปเปอร์พรีเมี่ยมคุณภาพสูงจากธรรมชาติ 100% (100% NATURAL PURE PRODUCT) มีความปลอดภัยสูงสุด จากการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี การเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ สารเร่งการเจริญเติบโต และสารเคมีใด ๆ ตลอดการเลี้ยงดู ภายใต้การควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย โดย S-Pure เป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียว ที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงแบบไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ (Raised Without Antibiotics - RWA) จาก NSF รวม 3 ผลิตภัณฑ์ทั้งหมู ไก่ ไข่ ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการที่ดี มุ่งขยายฐานผู้บริโภคในระดับพรีเมียม 2.กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง โดยศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Innovation Center-PIC) ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์พรีเมียมตอบโจทย์ Health & Wellness และ 3.กลุ่มธุรกิจเกษตร โดยศูนย์นวัตกรรมการเกษตร (Agro Innovation Center - AIC) ที่จะพัฒนาอาหารสุกร อาหารโค และอาหารไก่ไข่ที่เป็นเกรดพรีเมียมรับกับความต้องการในผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น
และ 4) การขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ ในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศวางแผนลงทุนในประเทศกัมพูชา ลาว และ เมียนมา โดยสร้างโรงงานแห่งใหม่ และปรับปรุงโรงงานเดิมให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น รวมทั้งสนใจการลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกใหม่ในประเทศอื่น ๆ จากปีที่ผ่านมามีมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยสนใจขยายการส่งออกสู่ตลาดยุโรป ตลอดจนขยายผลิตภัณฑ์ใหม่และช่องทางจัดหน่ายที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และส่งออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ปรุงสุก อาทิ ไก่ปรุงสุก บุกตลาดอาเซียน ญี่ปุ่น และยุโรป รวมทั้งมุ่งสร้างแบรนด์ "S-Pure" และ "BETAGRO" ตอกย้ำและสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
"จากการวางกลยุทธ์แห่งปี 2566 เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการลงทุนสร้างรากฐานการผลิตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนการไม่หยุดนิ่งสร้างสรรค์อาหารและช่องทางจำหน่ายที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ การขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม รวมทั้งความสามารถในการควบคุมต้นทุนราคาวัตถุดิบด้วยระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และการมุ่งเน้นสินค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนที่ได้อัตรากำไรที่ดีกว่า เพื่อลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเนื้อสัตว์ จะผลักดันให้ยอดขายปี 2566 มีอัตราการเติบโต 5-10% ตามเป้าหมาย และตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับสากลเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนต่อไป" นายวสิษฐ กล่าว