นักลงทุนรุ่นใหม่ มอง "ทองคำ" มีโอกาสดีดกลับขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบหนึ่งปี รับปัจจัยบวกตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด บวกแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงความตึงเครียดระหว่าง NATO กับรัสเซีย อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาการประกาศตัวเลข Non-Farm Payroll คืนวันศุกร์นี้ ตลอดจนการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันอาจทำให้ FED ไม่ปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายตามคาด
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา "ทองคำ" มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 10% จนเกือบแตะจุดสูงสุดเดิมในรอบหนึ่งปี ที่ 2,057 ดอลลาร์ มองว่าเป็นเพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกาศออกมาในช่วงหลัง เริ่มออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ทำให้ตลาดเริ่มกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่อาจจะเกิดขึ้น ประกอบกับ NATO ได้รับประเทศฟินแลนด์เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในภูมิภาคยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากฟินแลนด์มีพรมแดนติดกับประเทศรัสเซีย ถ้าหากรัสเซียมีการบุกเข้ามายังชายแดนฟินแลนด์ กลุ่มประเทศ NATO พร้อมที่จะโต้ตอบได้ทันที ดังนั้น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) จึงมีแรงซื้อเข้ามามากขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก FED Watch Tool ยังบอกว่ามีโอกาส 50% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยอัตรา 0.25% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ และหลังจากนี้จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย หรือ อาจจะเริ่มมีการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และส่งผลบวกต่อราคาทองคำในที่สุด
โดย Dollar Index ปรับตัวลงต่อเนื่องจนใกล้เคียงที่จะแตะระดับต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้นในปีนี้ที่ระดับ 101.90 จุด และแนวโน้มระยะสั้นยังคงเป็นขาลง ทำให้สินทรัพย์อื่น ๆ มีแรงซื้อกลับเข้ามา ถ้าหาก FED กลับลำนโยบายทางการเงินมาเป็นผ่อนคลายก็จะส่งผลบวกต่อทองคำตลอดทั้งปีนี้
"อย่างไรก็ตาม วันศุกร์นี้ (7 มี.ค. 66) สหรัฐฯ จะประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll) ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 238,000 ตำแหน่ง ถ้าออกมาในระดับนี้ หรือ น้อยลง จะเป็นผลดีต่อ "ทองคำ" และในวันเดียวกันยังมีการประกาศอัตราการว่างงาน ถ้าออกมามากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3.7% ก็จะเป็นผลดีต่อทองคำเช่นกัน โดยสองดัชนีนี้นับว่ามีความสำคัญมากกว่า ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าออกมาแล้วไม่เป็นไปตามที่คาดก็อาจมีแรงเทขายในทองคำออกมาเช่นกัน"
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนมองในด้านเทคนิค ราคาทองคำ มีแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 2,057 ดอลลาร์ ถ้าสามารถผ่านระดับนี้ไปได้จะมีเป้าหมายต่อไปที่ระดับ 2,214 ดอลลาร์ แต่ถ้ามีการปรับตัวลงแนวรับที่ใช้เป็นจุด "ซื้อ" ได้อยู่ที่ 1,960 ดอลลาร์
นายณพวีร์ กล่าวว่า ส่วนราคา "น้ำมัน" ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดีดกลับมาขึ้นแรงเกือบ 10% หลังจากที่ติดลบราว 8% และทำให้ผลตอบแทนในปีนี้กลับมาเป็นบวก น่าจะมีสาเหตุมาจากกลุ่มประเทศโอเปกพลัสหันมาลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลง ทำให้เกิดแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น โดยโกลด์แมน ซาคส์ (Goldman Sachs) และวานิชธนกิจอื่น ๆ ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจจะกลับมาแตะ 100 ดอลลาร์ ได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีมุมมองจากองค์กรเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง IMF และ OECD ที่ออกมาคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ มีโอกาสจะเติบโตลดลง และมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาน้ำมัน จึงยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าราคาน้ำมันจะกลับมาเป็นขาขึ้น หรือ ไม่
ทางด้าน มุมมองเชิงเทคนิคของราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ระยะสั้น มีแนวต้านที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถ้าสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัว เพราะเป็นการผ่านแนวต้านที่กดราคาเป็นขาลงมาตั้งแต่ต้นปี 2566 และยังเป็นการกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ขณะที่แนวรับอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
"เวลานี้ต้องจับตาราคาน้ำมันดิบ ถ้าหากกลับมาเป็นขาขึ้นจริง อาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง จนอาจทำให้ FED ไม่สามารถกลับทิศนโยบายการเงินจากเข้มงวดมาเป็นผ่อนคลายได้ จึงอาจยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยในปีนี้ และทำให้อัพไซด์ของราคาทองคำอาจจะมีจำกัด"