ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) และอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-Term Local-Currency Issuer Default Rating) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ที่ 'BBB+' และอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะสั้น (International Short-Term Issuer Default Rating) ที่ 'F1' อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ 'F1+(tha)' รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของโครงการออกหุ้นกู้ (Medium-Term Debenture Program) มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท และโครงการออกหุ้นกู้มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนล้านบาท ที่ 'AAA(tha)'
นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวให้แก่หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 2 พันล้านบาทของ ปตท. ที่ 'AAA(tha)' หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ และได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ปตท. เช่นเดียวกันกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของบริษัทฯ
อันดับเครดิตระยะยาวของปตท. สะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่ระดับ 'bbb+' ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย ('BBB+' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ (Government-Related Entities Rating Criteria) ของฟิทช์ อันดับเครดิตระยะยาวของปตท. จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย หากสถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ถูกปรับลงในอนาคต และฟิทช์พิจารณาว่าโอกาสในการได้รับการสนับสนุนภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตข้างต้นที่อยู่ในระดับสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ อันดับเครดิตสากลระยะสั้นเท่ากับอันดับเครดิตสากลระยะสั้นของประเทศไทย
สถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตที่มั่นคง จากธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทแบบครบวงจร รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยฟิทช์มองว่าธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และเคมีภัณฑ์จะยังคงเป็นธุรกิจหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของปตท. ไปจนถึงปี 2573 แม้ว่าปตท. มีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่ๆ ที่มีคาร์บอนต่ำ รวมถึงธุรกิจอื่น นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน มากขึ้นในอนาคต
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ ในระดับสูง: ฟิทช์ประเมินเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและการควบคุมของภาครัฐฯ ต่อปตท. ให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับการพิจารณาปัจจัยดังกล่าวสำหรับองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ อื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียแปซิพิค แม้ว่าภาครัฐฯ มีนโยบายให้ปตท. ดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีการควบคุมนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์หลักๆ ในภาพกว้าง ฟิทช์มองว่าการสนับ สนุนจากภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง แม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เนื่องจากปตท. มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ฟิทช์คาดว่าภาครัฐฯ น่าจะให้การสนับสนุนแก่ปตท. ในกรณีที่บริษัทมีความต้องการ เนื่องจากปตท. มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และเป็นตัวจักรสำคัญในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย
ผลกระทบต่อสังคมและการเมืองอยู่ในระดับสูงมาก: ฟิทช์ปรับมุมมองในเรื่องผลกระทบต่อสังคมและการเมืองในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้ ให้มาอยู่ที่ระดับสูงมาก จากระดับสูง เพื่อให้สอดคล้องมากขึ้นกับมุมมองของฟิทช์ที่มีต่อบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหลักของประเทศ (National Oil & Gas Company) ของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ การผิดนัดชำระหนี้ของปตท. จะส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า และความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ ในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้อยู่ในระดับสูง เนื่องจากปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ ที่มีการกู้เงินและออกหุ้นกู้ในประเทศไทย ดังนั้นการผิดนัดชำระหนี้ของปตท. อาจจะมีผลกระทบต่อการกู้ยืมเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้นทุนทางการเงินของภาครัฐฯ และองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ อื่นๆ ด้วย
ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แม้จะอ่อนตัวลงบ้าง: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของปตท. จะอ่อนตัวลงในปี 2566 เนื่องจาก EBITDA จากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลดลง จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในปี 2566 จะยังคงอยู่สูงกว่าราคาในช่วงปี 2559-2564 นอกจากนี้ ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง น่าจะช่วยทำให้กำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในปี 2566 จากที่ลดลงประมาณร้อยละ 6 ในปี 2565 ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของปตท. จะยังคงแข็งแกร่งที่ประมาณ 3.9 แสนล้านบาทในปี 2566 (ปี 2565 อยู่ที่ 4.1 แสนล้านบาท) และอยู่สูงกว่าในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด
ฟิทช์คาดว่า EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี น่าจะมีการฟื้นตัวในปี 2566 เนื่องจากไม่มีการขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่สูงมาก ปตท. รายงานการขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง สูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบและราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เกิดขึ้นจริง อยู่สูงกว่าราคาที่ได้ทำประกันเอาไว้ ฟิทช์คาดว่า ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จะยังคงอ่อนแออยู่ในปี 2566 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมและความต้องการที่ชะลอตัวลง
การลงทุนที่เพิ่มขึ้น: ฟิทช์คาดว่ากลุ่มปตท. จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 (ในปี 2565 อยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท) จากการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มปตท. ได้มีการใช้เงินในการเข้าซื้อกิจการลดลงอย่างมากในปี 2565 หลังจากที่มีการเข้าซื้อกิจการอย่างมากในปี 2565 ฟิทช์เชื่อว่ากลุ่มปตท. จะยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายธุรกิจและตลาด รวมถึงสนับสนุนแผนการเปลี่ยนถ่ายการใช้พลังงานที่มีคาร์บอนต่ำ แต่ฟิทช์จะพิจารณาผลกระทบจากการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่เป็นกรณีๆ ไป เนื่องจากความไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสและการบรรลุข้อตกลงในการซื้อขาย
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าสถานะทางเงินของปตท. จะยังคงแข็งแกร่งอยู่ และสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ แม้ว่าฟิทช์คาดการว่าค่าใช้เพื่อการลงทุนจะเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของปตท. จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ประมาณ 2 เท่าในปี 2566-2567 จาก 1.9 เท่าในปี 2565 เนื่องจากค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกลับมาเป็นปกติ อัตราส่วนหนี้สินที่เพิ่มดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ
ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมุ่งเน้นก๊าซธรรมชาติ: ปตท. จะยังคงขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อไป ผ่านทางบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.; อันดับเครดิต BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทลูกในธุรกิจนี้ และจะมุ่งเน้นแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อทำให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทยมีความมั่นคงมากขึ้น และสนับสนุนการขยายห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (Gas value chain) แบบครบวงจรของบริษัทฯ โดยปตท.สผ. วางแผนที่จะเพิ่มการผลิตปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 6 ต่อปีในช่วงห้าปีข้างหน้า และเพิ่มให้ถึงประมาณ 7.9 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันภายในปี 2570 (โดยในปี 2565 อยู่ที่ 5.8 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) บริษัทฯ จะยังคงเน้นการผลิตก๊าซธรรมชาติ (มีสัดส่วนร้อยละ 73 ของการผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดในปี 2565) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญในระหว่างการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ
การขยายห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (Gas value chain): ปตท. วางแผนที่จะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas) สำหรับการใช้ในประเทศและเพื่อการค้าระหว่างประเทศ เป็นประมาณ 9 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่งบริษัทฯ พยายามจะนำเข้าภายใต้สัญญาการซื้อขายระยะยาวเป็นหลัก โดยในปี 2565 ปตท. ได้เข้าทำสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระยะยาวปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มนำเข้าตั้งแต่ปี 2569 นอกจากนี้ ปตท. วางแผนที่จะสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติโรงที่ 8 เพื่อเพิ่มมูลค่าการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว รวมถึงการขยายสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการค้าของก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาค
ธุรกิจพลังงานใหม่: ปตท. มีแผนที่จะกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจพลังงานในอนาคต เช่นพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานจากไฮโดรเจน รวมถึงไปยังธุรกิจใหม่ๆ เช่น วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและการแพทย์ (Life Science) เทคโนโลยีและดิจิตอล และการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 12,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 กลุ่มปตท. วางแผนที่จะลงทุนในธุรกิจพลังงานในอนาคต และธุรกิจใหม่ๆ คิดเป็นประมาณร้อยละ 32 ของแผนเงินลงทุนในปี 2564-2573 และวางเป้าหมายว่ากำไรสุทธิจากธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้จะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิทั้งหมดในปี 2573 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับน้อยมาก (น้อยกว่าร้อยละ 1 ในปี 2565)
ผู้นำที่แข็งแกร่งในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ: ฟิทช์คาดว่า ปตท. จะยังคงเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย แม้ว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้บริษัทอื่นๆ นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศ ก๊าซธรรมชาติเหลวที่นำเข้าเหล่านี้จะถูกจัดจำหน่ายแก่ผู้ใช้ ผ่านสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว และระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบัน ปตท. เป็นผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว โดย ปตท. จะคิดค่าบริการตามที่หน่วยงานกำกับธุรกิจพลังงานเป็นผู้กำหนด นอกจากนี้ การที่ปตท. มีสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระยะยาวกับผู้ผลิตในต่างประเทศ และมีประวัติการดำเนินงานในธุรกิจนี้อยู่แล้ว น่าจะทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซที่มีความสม่ำเสมอ: สถานะทางการเงินของ ปตท. ได้รับประโยชน์จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่มีความสม่ำเสมอ ซึ่งได้แก่ธุรกิจท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติและการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซ อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่มีความมั่นคง และสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวซึ่งมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำจากคู่สัญญาในลักษณะ take-or-pay รวมถึงโครงสร้างราคาที่สามารถส่งผ่านต้นทุนการขายให้แก่ลูกค้าได้ กำไรจากธุรกิจโรงแยกก๊าซและการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากการปรับราคาของต้นทุนก๊าซธรรมชาติตามสัญญาการซื้อขายระยะยาว จะช้ากว่าการปรับราคาของราคาผลิตภัณฑ์
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของปตท. จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย หากสถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ถูกปรับลงในอนาคต ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ ของฟิทช์ และฟิทช์พิจารณาว่าโอกาสในการได้รับการสนับสนุนภาย ใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตข้างต้นที่อยู่ในระดับสูง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ฟิทช์มองว่าสัดส่วนการถือหุ้นและการควบคุมของภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกันกับบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอื่นๆ ที่ถือหุ้นส่วนใหญ่โดยภาครัฐฯ ในภูมิภาคเอเซีย อาทิ Oil India Limited (อันดับเครดิต BBB- แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และ Korea Gas Corporation (อันดับเครดิต AA- แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ฟิทช์มองว่าการสนับสนุนจากภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกันกับของ Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS, อันดับเครดิต BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดยแม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการสนับสนุนทางการเงินให้กับบริษัททั้งสอง เนื่องจากมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ฟิทช์คาดว่าภาครัฐฯ น่าจะสนับสนุนทางการเงินให้ในกรณีที่บริษัทมีความต้องการ
ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อสังคมและการเมืองในกรณีที่บริษัทฯ ผิดนัดชำระหนี้ของปตท. อยู่ในระดับสูงมาก เช่นเดียวกันกับของ PETRONAS และ China National Petroleum Corporation's (CNPC, อันดับเครดิต A+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) เนื่องจากทั้งสามบริษัทมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจและภาครัฐฯ ของประเทศ
นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่าการผิดนัดชำระหนี้อาจจะมีผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ และองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ อื่นๆ ของ ปตท. อยู่ในระดับสูง แต่อยู่ในระดับต่ำกว่ากว่าเมื่อเทียบกับ PETRONAS และ CNPC ที่อยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากบริษัททั้งสองมีสถานะเป็นผู้กู้ยืมที่ใกล้ความเป็นภาครัฐฯ มากกว่า ถึงแม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจรายหลักที่มีการกู้เงิน
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ราคา 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566, 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569 และปีถัดๆไป
- ปริมาณการขายของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อปีโดยเฉลี่ย ในปี 2566-2570 (ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5)
- EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจปิโตรเคมี ฟื้นตัวในปี 2566 เนื่องจากไม่มีการขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่สูงมาก
- EBITDA จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวดีขึ้นปี 2566
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2566-2567 (2565 มีการลงทุนทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท)
- การจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 50-55 ของกำไร
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตประเทศไทย หากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับประเทศไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจัยลบ - การปรับลดอันดับเครดิตประเทศไทย
ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท.:
- การลงทุนที่สูงโดยใช้เงินกู้ยืม หรือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งทำให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage สูงกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎระเบียบ การแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและการปรับค่าผ่านท่อก๊าซที่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อ ปตท.
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคตของประเทศไทย ที่ได้ประกาศในรายงานลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
ปัจจัยบวก:
- ด้านเศรษฐกิจมหภาค: การปรับตัวดีขึ้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลาง โดยไม่ทำให้หนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- ด้านหนี้สาธารณะ: การลดหนี้สินของรัฐบาล (General Debt to GDP) เช่นอาจเกิดจากงบประมาณขาดดุลที่ลดลง และ/หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางที่ดีขึ้น
ปัจจัยลบ: - ด้านหนี้สาธารณะ: การที่รัฐบาลไม่สามารถรักษาระดับหนี้สินของรัฐบาล (General Debt to GDP) ในคงที่ เช่นอาจเกิดจากงบประมาณที่ขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือแรงกดดันให้รัฐบาลต้องมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ด้านโครงสร้าง: ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระดับที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: สภาพคล่องของปตท. ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 เมื่อเทียบกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.6 แสนล้านบาท นอกจากนี้สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อประเภท Committed ที่สามารถเบิกใช้ได้จำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีภาระการชำระคืนหนี้ที่บริหารจัดการได้ โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 10.7 ปี
ข้อมูลของบริษัท
ปตท. เป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจรของประเทศไทย บริษัทดำเนินธุรกิจครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมดในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ผ่านบริษัทลูกต่างๆ ได้แก่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าอีกด้วย ปตท.มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ร้อยละ 63