บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ยักษ์ใหญ่ในวงการสติ๊กเกอร์ ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 115.72 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าตลาด mai ระดมทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม ชูจุดเด่นด้านการเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ จำหน่ายทั้งในประเทศและอีกกว่า 15 ประเทศทั่วโลก โดยฐานลูกค้าหลักอยู่ในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม
นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ PMC ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทฯ เพื่อประกอบการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา
โดยแผนเสนอขายหุ้นของ PMC จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 115,715,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
สำหรับจุดเด่นของ PMC คือ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่า (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ บริษัทฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษอื่นๆ บริษัทฯ จำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์ฉลากสินค้า (Printer) และผู้ผลิตฉลากสินค้า (Converters) เป็นหลัก โดยลูกค้าจะนำสติ๊กเกอร์เปล่าไปดำเนินการออกแบบ จัดพิมพ์ลวดลาย และตัดให้ได้รูปทรง เพื่อผลิตเป็นฉลากสินค้าให้แก่ลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือ End Users ตามลำดับ
โดยบริษัทฯ จำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ PMC Label Materials PTE., Ltd. หรือ PMCS ในประเทศสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. หรือ PMCM ในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณ 60% และอีก 40% เป็นการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศกว่า 15 ประเทศทั่วโลก โดยมีฐานลูกค้าหลักในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องจาก 708 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 834 ล้านบาทในปี 2564 และ 874 ล้านบาทในปี 2565 แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC กล่าวว่า PMC เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) (SELIC) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดยบริษัทฯ ถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม SELIC ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก SELIC เกี่ยวกับเทคนิคการปรับสูตรผสมกาวซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักอย่างหนึ่งของสติ๊กเกอร์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากลูกค้าในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี
โรงงานผลิตสินค้าของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 13 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร มีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี นอกจากนี้ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 190 ล้านบาท
ปัจจุบันสายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2567 เป็นต้นไป ภายหลังจากที่สายการผลิตใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์รวมทั้งสิ้น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุด 3 ลำดับแรกของผู้ประกอบการในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม, ลงทุนขยายกำลังการผลิตและชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง, ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อสินค้า และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ