นักลงทุนรุ่นใหม่เผยราคาสินค้าเกษตรมีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากปรากฎการณ์เอลนีโญ รวมถึงราคาน้ำมันดิบกำลังกลับตัวเป็นขาขึ้น สบโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้งกองทุนอีทีเอฟ-หุ้นรายตัว ด้านตลาดหุ้นสหรัฐ ต้องจับตาหลังประกาศงบไตรมาสสอง อาจเกิดแรงเทขายทำกำไรหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แนะรอจังหวะเก็บสะสมระยะยาว ส่วนตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง ภาพรวมยังไม่น่าสนใจ แต่สามารถลงทุนเซกเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าได้
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า หนึ่งในปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหลังจากนี้ คือ การมาของปรากฎการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ส่งผลทำให้เกิดภาวะภัยแล้งทั่วโลก และจะมีผลกระทบต่อผลผลิต (ซัพพลาย) ของสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร หรือ Soft Commodities ปรับลดลง หรือ อาจจะขาดแคลนได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรมีโอกาสปรับตัวแพงขึ้นได้
"ขณะนี้ ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 5 ปี ปัจจัยหลักมาจากการขาดน้ำในประเทศที่เป็นแหล่งผลิตข้าวสำคัญของโลก รวมถึงราคาข้าวสาลีที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้จากการที่รัสเซียเตรียมปิดช่องทางการขนส่งข้าวสาลีจากยูเครน โดยการมาของเอลนีโญอาจจะมีส่วนในการผลักดันราคากลุ่มสินค้าเกษตรให้เป็นขาขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้"
อีกหนึ่งสัญญาณที่ระบุว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสปรับตัวขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ ทั้ง WTI และ Brent เกิดสัญญาณขาขึ้นจากเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันเป็นขาขึ้น และราคาน้ำมันดิบสามารถผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นมาได้ จะมีส่วนผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
"สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์สามารถทำได้ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ กองทุน ETF รวมถึงหุ้นรายตัวที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ แต่การลงทุนหุ้นรายตัวอาจมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุน เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะกิจการมาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นรายตัว สามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่สามารถรับได้"
นายณพวีร์ กล่าวว่า ส่วนสินทรัพย์อื่น ๆ ต้องจับตาตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ NASDAQ หลังจากประกาศงบไตรมาสสองของปีนี้ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อย่าง Apple, Microsoft, Alphabet, Meta, Amazon และ Tesla แม้ว่าส่วนใหญ่จะรายงานผลประกอบการที่เติบโตและดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่นักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่อาจเป็นเพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ประกอบกับต้องการลดความเสี่ยงที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจากภาวะหนี้ภาครัฐที่สูงเกินเพดาน
อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงยังมองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าทยอย "ซื้อ" ลงทุนระยะยาว เนื่องจากรายละเอียดของงบการเงินที่ออกมาถือว่าเติบโตในรูปแบบ Organic ทั้งหมด โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ได้แก่ Microsoft และ Alphabet ที่เริ่มรายงานรายได้จริงที่เกิดขึ้นจากเอไอ บ่งชี้ว่าเอไอไม่ใช่แค่สตอรี่ปั่นราคาแต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงของผลประกอบการอย่างแท้จริง
สำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม สามารถปรับตัวขึ้นในระดับ 10% ภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน หลังจากรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยภาพรวมของดัชนีขณะนี้เริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น จึงสามารถอาศัยจังหวะที่ดัชนีย่อตัว เข้าทยอยลงทุนได้ เช่นเดียวกันกับ ตลาดหุ้นเกาหลีที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญของเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเอไอก็มีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาขึ้น นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนได้ผ่านกองทุนรวม หรือ กองทุน ETF ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นที่ยังมีความเสี่ยงอยู่มากและไม่แนะนำในช่วงนี้ คือ ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง แม้ว่ารัฐบาลจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แต่ในมุมมองของตลาดยังมองว่ายังไม่แรงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้ ประกอบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงภาคธุรกิจทั่วไปยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาจากภาวะโควิดได้เต็มที่ จึงอาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่จะลงทุนระยะสั้น แต่ยังสามารถทยอยสะสมระยะยาวได้
"เซกเตอร์ที่น่าสนใจในตลาดหุ้นจีน คือ กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมไม่ดีนัก แต่การรายงานยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนทุกค่ายต่างรายงานยอดขายและยอดส่งมอบที่เติบโตทุกราย ประกอบกับผู้ประกอบการทุกค่ายสัญญาที่จะไม่แข่งกันตัดราคาทำให้อัตรากำไรของหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าทุกค่ายมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว เป็นเซกเตอร์ที่น่าสนใจที่จะทะยอยลงทุนได้"