"บมจ.พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง หรือ PROS" ชี้แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากงานติดตั้งระบบวิศวกรรมที่ได้รับเพิ่มเข้ามาในช่วงครึ่งแรกของปี พร้อมลุยประมูลงานเจาะลูกค้าใหม่ ดันมูลค่างานคงค้างในมือรวม 1,600 ล้านบาท ชี้ลูกค้าเดิมเชื่อมั่นคุณภาพ ฝีมือการทำงาน ส่งงานให้ต่อเนื่อง พร้อมกับรุกงานลูกค้าโครงการใหม่ๆ ประเมินไตรมาส 3/2566 มีลุ้นได้งานบิ๊กเนมเพิ่ม ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำงานระบบวิศวกรรม "พงศ์เทพ รัตนแสงสรวง" ซีอีโอ ชี้ธุรกิจพร้อมเดินหน้าต่อเนื่องท่ามกลางความท้าทาย ควบคู่กับการบริหารต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนค่าก่อสร้าง ปรับโครงสร้างการบริหารงานโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อพลิกกลับมาปิดงบสวยในครึ่งหลังปี 2566
นายพงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารเปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 เชื่อว่ามีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการที่ได้รับเพิ่มเติมด้านงานติดตั้งระบบวิศวกรรมซึ่งบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม โครงการห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเก็ต โครงการติดตั้งโซล่าร์รูฟ เป็นต้น โดยล่าสุดได้รับงาน โครงการคอนโด รัชดา12, โครงการติดตั้งโซล่าร์รูฟของมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, โครงการโลตัส สุขุมวิท พัทยา และโครงการอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง 2566
ทั้งนี้ PROS ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่เชื่อมั่นในประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และคุณภาพงาน ให้โอกาสได้รับเลือกเป็นผู้รับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรม เช่น กลุ่ม HOMEPRO, LOTUS, NEO, SMC เป็นต้น ล่าสุดได้เข้าประมูลงานติดตั้งระบบวิศวกรรมโครงการก่อสร้างโรงงานย่านรังสิต-ลำลูกกา มูลค่าราว 400 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 12-14 เดือน คาดจะรู้ผลเร็วๆนี้ ซึ่งหากบริษัทได้งานคาดเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และรับรู้รายได้ชัดเจนในช่วงไตรมาส 1-ไตรมาส 2/2567 และยังมีงานอาคารคลังสินค้า ที่เสนอราคาผ่านบริษัท สยาม มัลติ คอน จำกัด (SMC) อีกด้วย
นอกจากนี้บริษัทมีแผนเข้าไปประมูลงานลูกค้ารายใหม่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ปัจจุบันอยู่ในช่วงชี้แจงแบบ ซึ่งเป็นพื้นที่สำนักงานของเจ้าของโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลงานที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อเจ้าของโครงการซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และจะทำให้มีโอกาสได้รับงานอีกหลายโครงการในอนาคต โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่ EEC โดยข้อได้เปรียบของ PROS คือมีบริษัท พรอสเพอร์ไทธรรม์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือรองรับในพื้นที่เนื่องจากตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ใกล้อู่ตะเภา 20 กม. ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเจาะตลาดธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ตามความต้องการ Data center ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการใช้เทคโนโลยี Cloud , AI และ Big Data ที่เพิ่มมากขึ้นตามเทรนด์เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล และการมาของเทคโนโลยี Metaverse โดยบริษัทฯอยู่ในช่วงของการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่อีกหลายราย
"ไตรมาส 2/66 การรับรู้รายได้อาจจะไม่ได้มีเข้ามาตามคาด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของภาคการก่อสร้าง และโครงการต่างๆที่ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯต้องแบกต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานในการก่อสร้าง บริษัทฯได้เร่งปรับรูปแบบการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มข้น รวมถึงการตั้งสำรองขาดทุนทั้งจำนวนในไตรมาส 2/2566 แต่ในครึ่งปีหลังมองว่าภาพรวมของภาคการก่อสร้างและการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และความเชื่อมั่นในการลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณประจำปีกำลังจะกลับมา โดยบริษัทฯได้รับงานใหม่ที่มีคุณภาพ มีกำไร และลักษณะโครงการที่สอดคล้องกับการบริหารจัดการความเสี่ยง ปัจจุบัน PROS มีงานในมือ (Backlog) มูลค่ารวมประมาณ 1,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 44% พร้อมเดินหน้ารับงานรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร และเจาะตลาดลูกค้าใหม่ๆเสริมพอร์ต สอดรับกับการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกำลังซื้อและภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวภายในประเทศ ภายหลังจากการฟอร์มทีมรัฐบาลสำเร็จ" นายพงศ์เทพกล่าว
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 130.19 ล้านบาท ลดลง 48.16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 198.39 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น จากงานที่ได้รับมาช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2566 ชู BIG 4 GROWTH STRATEGY ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้าง (Construction Business) 2) ธุรกิจก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (High Voltage Substation & Renewable Energy Business) 3) ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบวิศวกรรม (New Technology & Trading Business) และ 4) ธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare Business)