บลจ.กสิกรไทย จัดสัมมนา KAsset Investment Forum : ปรับพอร์ตรับโลกเปลี่ยน 2024 ชี้ทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาส เผยผู้ลงทุนส่วนใหญ่ยังลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์บางประเภท ถือเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง แนะจัดพอร์ตแบบ Core and Satellite โดยแบ่งสัดส่วน Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 70%-80% ของพอร์ตผ่านกองทุนผสมกสิกรไทย และ Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20%-30% ของพอร์ต โดยเลือกลงทุนตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยในงานสัมมนา KAsset Investment Forum : ปรับพอร์ตรับโลกเปลี่ยน 2024 โดยกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในแต่ละประเทศแกนหลักของโลกต่างก็ให้ภาพจังหวะการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน โลกของการลงทุนจึงต้องปรับตัวให้ทันกับความท้าทายที่โลกต้องเผชิญใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ (Uncertainty) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global Heating) และสังคมสูงวัยขยายตัว (Silver Gen) อย่างไรก็ดี ทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาส ซึ่งผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสนั้นก่อนย่อมได้เปรียบทางการแข่งขัน ในแง่ของการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ทันกับความต้องการของผู้บริโภค และการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตร 3 ต่อ ทั้งต่อลูกค้า ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนในที่สุด
"จากข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทย พบว่า ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์บางประเภท ทำให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการเทน้ำหนักไปที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากจนเกินไป แม้สินทรัพย์ประเภทนั้นจะมีความเสี่ยงที่น้อย หรือ อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ก็ตาม ดังนั้น พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมจึงควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 : Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 70%-80% ของพอร์ต โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนเพื่อจัดพอร์ตเองได้ หรือสามารถลงทุนในกองทุนผสม ซึ่งมีนโยบายกระจายการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์อยู่แล้ว อาทิ K-GA, K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3 และ Wealth PLUS ส่วนที่ 2 : Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20%-30% ของพอร์ต โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนได้ตามสถานการณ์การลงทุนในเวลานั้นเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร" นายอดิศรกล่าว
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกสะท้อนการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มลดลง และถูกเลื่อนออกไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ที่ยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่เงินเฟ้อทยอยปรับลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้จุดสูงสุด ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบันมีลักษณะคล้าย Goldilocks กล่าวคือ เศรษฐกิจฟื้นตัว เงินเฟ้อต่ำ และธนาคารกลางใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย จึงเป็นจังหวะที่เอื้อต่อการเข้าลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่มีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในทันที จึงยังคงมุมมอง Higher for Longer ซึ่งเป็นภาวะที่ตลาดต้องสนใจ GDP และระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ในแต่ละประเทศ มากกว่าแค่ผลกระทบบนการเติบโตของรายได้ ทำให้คาดว่า Fed จะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้