บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ย้ำครึ่งปีหลังของปี 2566 ยังมุ่งเน้นการขยายตลาดต่อเนื่อง มั่นใจปี 2566 มียอดขาย 500,000 ตันตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมป้องกันสถานการณ์ความเสี่ยงของราคายางที่ผันผวนด้วยวิธี matching order เพื่อรักษาอัตรากำไร ด้าน ESG บริษัทยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานในทุกมิติ ควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day ประจำไตรมาส 2 /2566 โดยเปิดเผยถึงภาพรวมปี 2566 บริษัทยังคงตั้งเป้าปริมาณขายสินค้าที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 515,600 ตัน เติบโตเมื่อเทียบกับปริมาณขายปี 2565 ที่ 446,090 ตัน โดยการเติบโตมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคายางพารานั้น เริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มยานยนต์ (รวมยานยนต์ไฟฟ้าตามแผนสนับสนุนของภาครัฐ) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง ซึ่งบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีการขายให้กับลูกค้าไปถึงไตรมาสที่ 1/2567 แล้ว จากอานิสงค์ของคำสั่งซื้อจากประเทศจีนที่ยังมีความต้องการสูงและราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น
ด้านสถานการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นนั้น บริษัทใช้วิธี "Matching Order" เพื่อป้องกันความเสี่ยงของราคายางที่ผัน ซึ่งทำให้บริษัทสามารรักษาอัตราการทำกำไรได้สม่ำเสมอ
ด้านนางสาวเกศนรี จองโชติศิริกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด ควบคุมคุณภาพ และพัฒนาความยั่งยืน บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
ในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ยังดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติด้านบรรษัทภิบาล อาทิ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้สู่ดวงใจพนักงานผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และจะดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ