CMMU แนะภาคธุรกิจยังต้องตั้งรับกับปรากฏการณ์วูก้าเวิลด์ ชี้ผู้บริหารต้องปรับ 3 บทบาทคาแรคเตอร์เพื่อสร้างทางรอด "เป็นผู้นำเชิงปฏิรูป - ปฏิรูปความรู้ พัฒนาคน - สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีเอกภาพ" พร้อมจัดหลักสูตร Expert Generalist ช่วยรับมือความผันผวน
วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ ซีเอ็มเอ็มยู (CMMU) เผยผลกระทบจากสถานการณ์ VUCA World ทำให้องค์กรธุรกิจต้องพร้อมปรับตัว เพื่อรับมือกับความผันผวน ความไม่แน่นอน และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ชี้ 4 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อธุรกิจในอนาคต ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของประชากร พร้อมแนะแนวทางการปฏิรูปองค์กรผ่านผู้นำ ด้วย 3 ลักษณะ ได้แก่ การเป็นผู้นำเชิงปฏิรูปต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การอัปสกิลและรีสกิลให้กับทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีเอกภาพ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรที่มุ่งสร้างและพัฒนาศักยภาพนักบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่จัดการแบบรู้รอบหรือ Expert Generalist เพื่อต่อยอดความก้าวหน้าและสร้างโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน
ผศ. ดร.กิตติชัย ราชมหา หัวหน้าสาขาการจัดการธุรกิจ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า การจัดการธุรกิจภายใต้สภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ หรือที่เรียกว่าสถานการณ์ VUCA World : วูก้าเวิลด์ จะแตกต่างจาก Disruption ในบริบทของการจัดการธุรกิจ โดย VUCA หมายถึงสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบให้องค์กรธุรกิจต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แตกต่างจาก Disruption โดยเฉพาะ Disruption Innovation ซึ่งหมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในระบบจัดการ กระบวนการ ผลิตภัณฑ์ เพื่อมาช่วยแก้ปัญหาแทนสิ่งเดิมที่ไม่สามารถแก้ได้
"VUCA World : วูก้าเวิลด์ เกิดจากสังคมโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จาก 4 ปัจจัย ได้แก่ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) โดยสถานการณ์การจัดการธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเพราะต้องเผชิญกับความผันผวนต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี ประชากร สังคม การเมืองและกฎหมาย รวมถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค และคู่แข่งขัน เป็นต้น โดย VUCA World ยังเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบได้ทั้งในวงกว้างและแบบเฉพาะเจาะจงกับแต่ละอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่องค์กรธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้ ยากต่อการคาดการณ์ และเกิดขึ้นได้อย่างไม่สิ้นสุด
ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจ จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่น (Adaptive Organization) เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปรับตัวให้เกิดความยืดหยุ่นด้านการจัดการ ทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ จุดมุ่งหมาย กลยุทธ์ในทุกระดับขององค์กร ปรับโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรมองค์กร ระบบบริหารจัดการ โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงทรัพยากรมนุษย์"
ผศ. ดร.กิตติชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า 4 ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ส่งผลต่อธุรกิจในอนาคต ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรในวงกว้างในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อทุกภาคอุตสาหกรรมทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก การเปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ หรือเทคโนโลยีชีวภาพ และการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้บริโภคและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งการยอมรับ การใช้งาน การบริโภค การซื้อ
นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า องค์กรธุรกิจจะอยู่รอดได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ ปรับตัว สร้างสรรค์การออกแบบธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและไม่สิ้นสุด โดยคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำองค์กรต้องมี คือ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือผู้นำเชิงปฏิรูป (Transformative Leadership) จึงจะสามารถพาองค์กรปรับตัว อยู่รอด และเติบโตท่ามกลางภาวะผันผวนเช่นนี้ได้ โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ดังนี้
ที่เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนไป โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันในลักษณะเครือข่าย พันธมิตร การทำงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงกันในรูปแบบ Virtual Network และ Team Structure
และรีสกิลในความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงความรู้ที่เกี่ยวข้องในสายงานเท่านั้น แต่องค์กรต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้ความรู้ที่หลากหลายแบบข้ามศาสตร์ ให้มีทั้งความรู้ที่กว้างและรู้ลึกเพื่อพัฒนาคน
ให้มีคุณลักษณะที่สามารถเติบโตเป็นนักบริหารในรูปแบบ Expert Generalist ได้
ท่ามกลางสถานการณ์ VUCA World ในปัจจุบันที่หลากหลายธุรกิจต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ คือ การอัปสกิลการเรียนรู้ ผ่านสาขาการจัดการธุรกิจ (BM) วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในการทำงาน ครอบคลุมกระบวนการเรียนรู้ศาสตร์ด้านการจัดการ 4 M's ประกอบด้วย บริหารคน (Managing People) บริหารกลยุทธ์ (Managing Strategy) บริหารการดำเนินงานและโครงการธุรกิจ (Managing Business Process & Project) และบริหารการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ เพื่อการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจ (Managing Data Analysis) อย่างมีประสิทธิภาพ สอนโดยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและนักบริหารจัดการองค์กรภาคธุรกิจชั้นนำ เพื่อมุ่งสร้างและพัฒนาศักยภาพนักบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่อย่างมืออาชีพที่มีทักษะการจัดการแบบรู้รอบและรู้ลึก หรือที่เรียกว่า "Expert Generalist" เพื่อต่อยอดความก้าวหน้าและสร้างโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน ผศ. ดร.กิตติชัย กล่าวเสริม
ทั้งนี้ ผู้สนใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หลักสูตรไทยและหลักสูตรนานาชาติ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) โทรศัพท์ 02-206-2000 หรือเพจเฟซบุ๊ก CMMU Mahidol (https://www.facebook.com/CMMUMAHIDOL)