นายธวัชชัย นภาศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักการโยธา (สนย.) กทม.กล่าวกรณีมีการตั้งข้อสังเกตโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีรังสิตเชื่อมกับถนนพหลโยธินไม่เป็นไปตามขั้นตอน วิธีการตามที่กฎหมายกำหนดว่า กรุงเทพมหานคร โดย สนย.ได้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีรังสิตกับถนนพหลโยธิน พ.ศ.2561 ในพื้นที่เขตบางเขนและเขตดอนเมือง ประกอบกับกรุงเทพมหานครได้มีประกาศการเข้าครอบครองและใช้อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืน ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน
คณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นฯ จึงได้พิจารณากำหนดค่าทดแทนและค่าชดเชยให้แก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และได้เจรจาทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กับเจ้าของทรัพย์สินเรื่อยมา กระทั่งคงเหลือสิ่งปลูกสร้างของชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธาที่ไม่ยอมรื้อย้ายออกจากแนวเวนคืนเพียง 4 ราย จากจำนวนทั้งหมด 174 ราย ซึ่งปลูกสร้างริมคลองลาดพร้าว เป็นผลให้ไม่สามารถเข้าใช้พื้นที่ เพื่อก่อสร้างทางหลวงได้
กรุงเทพมหานคร จึงได้นำเงินค่าชดเชยที่เตรียมไว้ เพื่อจ่ายให้แก่เจ้าของทรัพย์สินไปฝากธนาคารออมสินและแจ้งให้ผู้มีสิทธิรับเงินทราบ แต่เจ้าของทรัพย์สินยังไม่ตกลงใด ๆ ส่งผลให้งานก่อสร้างทางหลวงเกิดความล่าช้า หากปล่อยไว้อาจทำให้รัฐเสียประโยชน์ในการดำเนินงาน
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืน จึงได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ปฏิบัติราชการแทน เข้าดำเนินการรื้อถอนขนย้ายโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในแนวเวนคืน ตลอดจนมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2562 ดังนั้น การดำเนินงานทุกขั้นตอนของกรุงเทพมหานคร จึงเป็นการดำเนินงานตามขั้นตอน วิธีการ ที่กฎหมายกำหนดไว้ และเป็นการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะส่วนรวม โดยมิได้เอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล หรือกลุ่มคนใด ๆ