โดยทั่วไปเรามองอาการไอ ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่เข้ามารบกวนบริเวณลำคอ หรือทางเดินหายใจ ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภท
โดยส่วนมากอาการไอมักเป็นอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หลอดลมอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการไอ ได้แก่ การอักเสบเรื้อรังในปอด เช่น วัณโรค หลอดลมอักเสบเป็นหนองเรื้อรัง ฝีในปอด และมะเร็งในปอด เป็นต้น รวมถึงภาวะลองโควิดที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน
ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน อาการไอ (?? เขอ โซ่ว) ถูกแยกออกมาจากโรคไข้หวัดต่าง ๆ อาจเป็นอาการต่อเนื่องหลังจากเป็นไข้หวัดหรือปัจจัยอื่น ๆ อาจมีไข้หรือไม่มีไข้ร่วมก็ได้ ในมุมมองของการแพทย์แผนจีนมีสาเหตุเกิดจาก ปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน ทำให้กลไกการทำหน้าที่ของปอดไม่สามารถควบคุมชี่ขึ้นลงเข้าออก ทำให้ชี่ปอดย้อนกลับ กลุ่มอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้ คือ
จากกลุ่มอาการข้างต้นจะเห็นได้ว่าอาการไอ อาจไม่ได้มาจากปอดอย่างเดียว อาจมีสาเหตุมาจากอวัยวะอื่นได้เช่นกัน ในคัมภีร์ซู่เวิ่น ยังมีกล่าวว่า "อวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกล้วนแล้วแต่ทำให้ไอได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเกิดจากปอดเพียงอย่างเดียว" ซึ่งหมายความถึงหากอวัยวะอื่น ๆ ทำงานผิดปกติไปอาจส่งผลกระทบต่อปอดแล้วทำให้เกิดอาการไอได้ นอกจากนี้หากอาการไอเรื้องรังไม่หายจะส่งผลต่ออวัยวะกลวงที่เป็นคู่เปี่ยวหลี่อินหยางกันด้วย
- เกิดจากปอด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากปัจจัยก่อโรคจากภายนอกกระทบปอดโดยตรง เช่น จากไข้หวัดจากลม ความเย็น ความร้อน มักมีอาการไอร่วมกับอาการเปี่ยวคือ กลัวลม กลัวหนาว มีไข้ น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นต้น นอกจากนี้อาจมาจากโรคของปอดต่างๆ เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็งปอด วัณโรคปอด เป็นต้น ซึ่งอาจพบอาการหอบหืด เป็นมากอาจมีไอเป็นเลือดปนกับเสมหะ หากเป็นนานไม่หายจะกระทบลำไส้ใหญ่ จะมีไอร่วมกับอุจจาระกลั้นไม่อยู่
- เกิดจากตับ ซึ่งมักเกิดจากอารมณ์โกรธโมโหก่อเกิดไฟตับทำร้ายปอด ไฟทำร้ายสารจิน (สารน้ำ) และหล่อหลอมสารจินหรือสารน้ำของเหลวจนกลายเป็นเสมหะ ทำให้เกิดอาการไอ ซึ่งเส้นลมปราณตับวิ่งผ่านบริเวณสีข้าง ดังนั้นหากไอจากตับ มักมีอาการไอร่วมกับเจ็บเสียดสีหน้าอกและสีข้างร่วมด้วย หากเป็นนานไม่หายจะกระทบถุงน้ำดี จะมีไอร่วมกับอาเจียนน้ำดี
- เกิดจากม้าม เมื่อรับประทานอาหารไม่เหมาะสม ชอบทานของทอดของมัน มักทำให้ม้ามสูญเสียการย่อย ดูดซึมสารอาหารและการขับแยกของเสีย ทำให้ก่อตัวเป็นเสมหะอุดกั้นสะสมที่ปอด ทำให้เกิดอาการไอ มักมีอาการปวดท้องด้านขวา และอาจปวดร้าวไปที่ช่วงไหล่และหลัง ขยับตัวแล้วเป็นมากขึ้น หากเป็นนานไม่หายจะกระทบกระเพาะอาหาร จะมีไอร่วมกับอาเจียน
- เกิดจากหัวใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่ามีภาวะชี่ของหัวใจพร่อง ทำให้เลือดที่หัวใจติดขัดอุดกั้น ซึ่งหัวใจอาศัยปอดในการลำเลียงเลือดส่งไปทั่วร่างกาย เมื่อเลือดคั่งทำให้สารจินหยุดนิ่งก่อตัวเป็นอิ่นหรือของเหลวที่หนืด เป็นผลให้ชี่ปอดติดขัดย้อนขึ้นและเกิดอาการไอได้ มักมีอาการไอร่วมกับเจ็บหน้าอก หรือจุกแน่นในลำคอ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจตรวจพบว่าเป็นโรคของหัวใจ เช่น โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว หากเป็นนานไม่หายจะกระทบลำไส้เล็ก จะมีไอร่วมกับผายลม
- เกิดจากไต ส่วนใหญ่มักเกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้ไตพร่อง ชี่ไตไม่สามารถเหนี่ยวรั้งกักเก็บชี่ได้ ส่งผลให้ปอดไม่สามารถควบคุมชี่ได้ปกติ ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง มักไอแล้วทำให้มีอาการปวดร้าวบริเวณเอวและหลัง เสมหะมาก หากเป็นนานไม่หายจะกระทบกระเพาะปัสสาวะ จะมีไอร่วมกับปัสสาวะเล็ด
จะเห็นได้ว่าอาการไอ มีหลากหลายสาเหตุ หากเราดูแลด้วยตัวเองแล้ว ยังมีอาการอยู่ไม่ควรปล่อยทิ้งไวให้เรื้อรังเพราะอาจจะยิ่งทำให้อาการเป็นมากขึ้นไป ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ ยิ่งรู้สาเหตุเร็วรักษาเร็วก็ไม่เรื้อรัง
- สอบถามข้อมูล หรือปรึกษาเรื่องสุขภาพได้ที่ "ทีมหมอจีน" คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โทร 02 223 1111
- เปิดทำการทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 08:00 - 16:00 น.
- LINE OA: @huachiewtcm
- Facebook: หัวเฉียวแพทย์แผนจีนกรุงเทพ Huachiew TCM Clinic