ฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวในรายงานฉบับใหม่ว่า "ความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนแอของบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยอาจนำไปสู่แรงกระตุ้นที่สูงขึ้นสำหรับการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทแม่ (independent companies) และมีเครือข่ายธุรกิจ (franchise) ที่ค่อนข้างอ่อนแอ" ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรในภาคอุตสาหกรรมในปี 2566 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี เนื่องจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่อ่อนแอและการแข่งขันที่รุนแรง
การควบรวมกิจการอาจเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานของอุตสาหกรรมในระยะกลาง การมีจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ที่ค่อนข้างมากในอุตสาหกรรมและมีรายได้ที่ผันผวนนั้นเป็นข้อจำกัดต่อสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานของธุรกิจหลักทรัพย์ อีกทั้งแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรน่าจะเป็นปัจจัยที่จำกัดโอกาสของการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะสั้น สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากสถานะทางเครดิตของตัวบริษัทเอง (standalone credit profile)
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างมากจากจุดสูงสุดในปี 2564 โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อย อีกทั้งอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ในขณะที่แหล่งรายได้จากธุรกิจอื่นนั้นยังคงไม่เพียงพอที่จะชดเชยการปรับตัวลดลงของรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้สภาวะการลงทุนของตลาดการเงินในประเทศยังได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาวทางบัญชีของบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งและการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่าผลการดำเนินงานของอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์น่าจะเริ่มปรับตัวมีเสถียรภาพหรือปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566-2567 โดยมีจำนวนบริษัทที่รอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) คงค้างเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงาน ในขณะที่ผลการดำเนินงานและปริมาณธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานะการณ์ตลาดโลก
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูได้จาก รายงานเรื่อง "Thailand Securities Sector: November 2023" ที่ www.fitchratings.com