TGE ทำผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ กำไรสุทธิ 193.2 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง 23.4% คาดได้ข้อสรุปเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 โรง เพื่อเริ่มก่อสร้างต้นปี 67 บอร์ดอนุมัติออกวอแรนต์ TGE-W1
'บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่' หรือ TGE ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ทำกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปีนี้ 193.2 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง 23.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้การขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมรวมถึงมีรายได้ชดเชยจากค่าประกันภัย วางเป้าหมายผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตต่อเนื่อง คาดได้ข้อสรุปการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 โรงในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ และเตรียมก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 3 โครงการที่เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. แล้วก่อนหน้านี้ ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ ไฟเขียวเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติออกวอร์แรนต์ TGE-W1
นางสาวสุภาพ ฉันทวิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน (CFO) บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2566) สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 699.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 193.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 171.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และรายได้ชดเชยจากค่าประกันภัยสุทธิจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกจำนวน 22.3 ล้านบาท การเติบโตของกำไรมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บริษัทเอกชนเพิ่มเติม รวมถึงโรงไฟฟ้า TBP ของบริษัทย่อยที่ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 6 เมกะวัตต์ (MW) ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34.5% เพิ่มขึ้นจาก 32.6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำถึงการมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุน รวมถึงปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้หลักและกำไรสุทธิจากการดำเนินงานใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 229.1 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงการหยุดซ่อมเครื่องจักรปกติตามแผนปีปัจจุบันของโรงไฟฟ้าของบริษัทย่อย ในขณะที่ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 71.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 49.4 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้ชดเชยจากค่าประกันภัยสุทธิจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามที่กล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามเป้าหมายของบริษัทฯ ล่าสุดคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุม้ติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 หรือ วอร์แรนท์ (TGE-W1) จำนวนไม่เกิน 314,285,715 หน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ โดยไม่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทฯ มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ ตามสัดส่วนการถือหุ้น ที่อัตรา 7 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (กรณีมีเศษให้ปัดทิ้ง) โดยไม่คิดมูลค่า มีอายุ 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ กำหนดอัตราการใช้สิทธิเท่ากับ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ โดยมีราคาใช้สิทธิ 1 บาท และมีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาและอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ อีก 157,142,857.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1,100,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,257,142,857.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 314,285,715 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิ TGE-W1 นอกจากนี้ ได้อนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 314,285,715 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (TGE-W1) ที่ออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยกำหนดจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 17 มกราคม 2567 เวลา 9.00 น. ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) เท่านั้น
นายสืบตระกูล บินเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ (CBDO) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 วางเป้าหมายรักษาการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิการเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าและบริหารจัดการต้นทุน ส่วนกรณีที่รัฐบาลประกาศมาตรการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.10 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วยในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 แทบจะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ เนื่องจากมีผลเฉพาะกับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าแก่บริษัทภายในกลุ่มท่าฉางเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% ของรายได้จากการดำเนินงาน
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มบริษัทฯ จะได้ข้อสรุปการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 1 โรงในไตรมาส 4/2566 ที่กลุ่มบริษัทฯ ชนะการประมูลก่อนหน้านี้ และคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในต้นปี 2567 ส่วนความคืบหน้าโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 3 โครงการที่ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือ Power Purchase Agreement (PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวม 16 MW ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดชุมพร โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจังหวัดสระแก้ว และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันได้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2567 นอกจากนี้ คาดว่าจะมีความคืบหน้าการเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเพิ่มเติมภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง