BLC โชว์ฟอร์มผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ทำกำไรสุทธิ 100.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% วางเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท รุกขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่หนุนมาร์จิ้นโต เริ่มรับรู้รายได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
'บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC' ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3/66 ทำรายได้ 347 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 37 ล้านบาท หนุนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนมีรายได้รวม 1,011 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% และ 14.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ พร้อมวางเป้าหมายรายได้เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี รับปัจจัยหนุนจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย พร้อมสร้าง Brand Awareness และเตรียมรับรู้รายได้จากการผลิตและจำหน่ายยาสามัญใหม่ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญ และยาสามัญใหม่ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการสร้าง Brand awareness และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีการเติบโตขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 37 ล้านบาท ลดลง 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในส่วนของผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นและค่าที่ปรึกษาต่างๆ อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ของปี 2566 ยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% และมีกำไรสุทธิ 100.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ BLC ได้วางยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตเพื่อรับเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพผ่านการสร้าง Brand Awareness ให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาดผ่านทุกช่องทางเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาสุขภาพของบริษัทฯ รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Modern trade และ e-Commerce นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ ได้ผลิตและจัดจำหน่ายยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) 1 รายการ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและจำหน่ายทันทีหลังจากสิทธิบัตรของยาต้นแบบ (Original Drugs หรือ Patented Drugs) หมดอายุ โดยเป็นยาที่มีคุณสมบัติการรักษาเหมือนกับยาต้นแบบแต่ราคาที่ถูกลงกว่ายาต้นแบบและมีอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ทั้งนี้ หลังจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับการนำเข้าเครื่องจักร และก่อสร้างอาคารโรงงานครบหมดแล้ว ปัจจุบันโครงการก่อสร้างอาคารโรงงานผลิตแห่งใหม่อยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติแบบก่อสร้างโรงงาน ซึ่งอาคารผลิตยาแผนปัจจุบันหลังใหม่จะใช้เทคโนโลยีทางด้านการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทในระยะยาว รวมทั้งการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ขนาด 500 กิโลวัตต์ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าประมาณ 2.6 ล้านบาทต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างโรงงานได้ภายในไตรมาส 2/2567 นอกจากนี้บริษัทฯ ได้วิจัยและพัฒนายาสามัญ และยาสามัญใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นกลุ่มยาที่มีอัตราการเติบโตสูง สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC กล่าวว่า อุตสาหกรรมยามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ประชาชนกลับมารักษาในโรงพยาบาลตามปกติของผู้ป่วย โดยคาดว่าปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาในประเทศช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการใช้ยาเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการปิดปีงบประมาณของโรงพยาบาลรัฐบาลจะทำให้ดีมานด์ของยาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคติดต่อไม่เรื้อรังและโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลให้ดีมานด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมีเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"เราวางเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากยาแผนปัจจุบันประเภทยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) เป็นหลัก เรามีศูนย์วิจัย BLC Research Center ที่จะวิจัยและพัฒนายาสามัญใหม่พร้อมจำหน่ายทันทีหลังจากสิทธิบัตรของยาหมดอายุ ซึ่งทำให้มีอัตราการทำกำไรที่สูง และวางแผนผลิตยาสามัญและยาสามัญใหม่อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 2 รายการ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของรายได้และอัตราการทำกำไรของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางด้านยาและสุขภาพให้แก่ประเทศไทย เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก" ภก.สุวิทย์ กล่าว