"บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต หรือ STECH" ผลงาน Q3/66 ท็อปฟอร์ม บุ๊กกำไร 30.53 ลบ.โตทะยานกว่า 233% โกยรายได้รวมอยู่ที่ 490.50 ลบ. เพิ่มขึ้น 11.73% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 94.37 ลบ. โต 18.69% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 1,436.09 ลบ. ลดลง 11.41% เนื่องจากธุรกิจมีการแข่งขันค่อนข้างสูง และปริมาณงานด้านก่อสร้างในปี 66 มีออกมาค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินเครื่องโรงงานผลิตลวดเหล็กในไตรมาส 4/66 นี้ หนุนผลงานปีนี้โตตามแผน เข้าสู่การสร้าง New S-Curve ในธุรกิจใหม่ และการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต สร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ล่าสุดกอด Backlog แน่น 1,300 ลบ.ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้และปีหน้า ลุยประมูลงานใหม่มูลค่ากว่า 1,000 ลบ.
นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 30.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 233.66% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.15 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยมีรายได้รวม 490.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.73% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 439.02 ล้านบาท
ในไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทฯมีรายได้จากงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพิ่มขึ้น 150.41% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปี 2566 รับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี สถานีไฟฟ้าแรงสูงสวรรคโลก (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) -ทางหลวงหมายเลข 101 กิโลเมตรที่ 102+052 จังหวัดสุโขทัย โครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี สถานีไฟฟ้าแรงสูงหนองหาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) จังหวัดอุดรธานี -สถานีไฟฟ้าสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี ช่วงทางหลวงหมายเลข 3 กิโลเมตรที่ 397+750 (ทางเข้าองค์การบริหารส่วนตำบลวังกระแจะ) ถึงสถานีไฟฟ้าแหลมงอบ จังหวัดตราด
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - กันยายน 2566) มีกำไรสุทธิ 94.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.69% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 79.51 ล้านบาท มีรายได้รวม 1,436.09 ล้านบาท ลดลง 11.41% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจมีการแข่งขันค่อนข้างสูง และปริมาณงานด้านก่อสร้างในปี 2566 มีออกมาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา
สำหรับภาพรวมธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้มีสัญญาณดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2566 ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งจะทำให้งานโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศออกมามากขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลดีกับ STECH ด้วย เพราะบริษัทเราขายผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว
ปัจจุบันบริษัทได้ก่อสร้างโรงงานผลิตลวดเหล็ก ที่จังหวัดชลบุรี ขนาดกำลังการผลิตที่ 2,000 ตันต่อเดือน ซึ่งอยู่บนพื้นที่เดียวกันกับโรงงานคอนกรีตแห่งที่ 10 โดยจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในไตรมาส 4/66 นี้
โดยเครื่องจักรที่ติดตั้งโรงงานผลิตลวดเหล็ก เป็นเครื่องจักรที่มีความทันสมัยที่สุดในขณะนี้ ซึ่งโดยปกติโรงงานผลิตลวดเหล็กโดยทั่วไปจะใช้น้ำกรดในการทำความสะอาดลวด แต่โรงงานผลิตลวดเหล็กของ STECH จะไม่ใช้ระบบน้ำกรด แต่จะใช้วิธีการทำความสะอาดผิวลวดโดยใช้วิธีทางกล ประกอบกับใช้สายพานขัดด้วยกระดาษทราย ซึ่งเป็น โรงงานลวดเหล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ธีม "ลวดรักษ์โลก"
"สินค้าใหม่ราว 30% จะใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัท และที่เหลือดำเนินการขายให้กับลูกค้าส่วนต่างๆ อีกทางหนึ่ง เพื่อเข้าสู่การสร้าง New S-Curve ในธุรกิจใหม่ และการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าลวดนับเป็นประมาณ 20-30% ของต้นทุนการผลิต และจะกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต สร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น" นายทรงศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) มูลค่ารวมประมาณ 1,300 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2566 ถึงปี 2567 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการติดตามงานที่ได้ยื่นประมูลไปแล้ว มูลค่ารวมประมาณ 1,000 ล้านบาท