CHOW โชว์ผลงาน Q3/66 เยี่ยม พลิกจากขาดทุนกว่า 56 ลบ.ในปีก่อน มาเป็นกำไรกว่า 350 ลบ. โตพุ่งกว่า 720% ระบุเป็นผลจากประสบการณ์กว่า 20 ปีของทีมบริหาร ขับเคลื่อนทุกหน่วยธุรกิจหลังโควิดกลับมาเติบโตก้าวกระโดด ทั้งธุรกิจเหล็กและพลังงานทางเลือก เผยสร้างฐานใหม่พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (CFO) บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้
ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 3 เดือนประจำไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจำนวน 1,550.24 ลบ. เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 150 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 475 ล้านบาท เพิ่มจาก 18.65 ล้านบาทในปีก่อน และมีกำไรสุทธิสูงกว่า 350.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 721 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลประกอบการเป็นขาดทุนสุทธิ 56.42 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการที่เป็นกำไรในไตรมาสที่ 3/2566 มาจากการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในทุกหน่วยธุรกิจ ทั้งธุรกิจเหล็กที่เป็นธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) และธุรกิจ Trading ผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการเหล็กในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย และได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม ทำให้เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าให้แก่ลูกค้ารายใหม่ๆ และเพิ่มปริมาณการขายให้แก่ลูกค้ารายเดิม ประกอบกับมีประสบการณ์อยู่ในธุรกิจเหล็กมากว่า 20 ปี จึงเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งรายเดิมและรายใหม่มากขึ้น โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายเหล็กในไตรมาสที่ 3/2566 รวม 757 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่สูงที่สุดหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ได้คลี่คลายลงตั้งแต่ต้นปี 2565
ส่วนธุรกิจธุรกิจพลังงานทดแทน เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยแรก มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่สอดคล้องกับกำลังการติดตั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่รับรู้รายได้เพียง 6.6 เมกะวัตต์ ส่วนปัจจัยที่สองมาจากบริษัทฯ มีโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าตามสัญญา EPC เพิ่มขึ้นจากหลายประเภทธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ห้องเย็น โรงงานผลิตตู้ขายสินค้า พร้อมทั้งเป็นผู้ให้บริการดูแลระบบหลังการติดตั้ง (O&M Contract) อีกทั้ง ยังได้รับคำสั่งการติดตั้งในโรงงานแห่งอื่นๆ ของลูกค้ารายเดิม (Repeat Order) ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการติดตั้งระบบที่ดีเยี่ยม การดูแลเอาใจใส่ และการแก้ไขปัญหาได้ตรงตามความคาดหวังของกลุ่มลูกค้า จึงทำให้สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดสำหรับโครงการ EPC ได้และส่งผลให้มีรายได้และกำไรจากการให้บริการ EPC เพิ่มขึ้นในงวดปัจจุบัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้สุทธิจากการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับกองทุนจาก BlackRock ในงวดปัจจุบันเป็นจำนวน 426.51 ล้านบาทเพื่อดำเนินธุรกิจ Solar Rooftop ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการรับรู้แบบส่วนแบ่งรายได้ในสัดส่วนร้อยละ 51 ซึ่งการร่วมธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญา PPA ในประเทศไทยกับกองทุน BlackRock ถือเป็นแผนกลยุทธ์ เพื่อต่อยอดในการสร้างฐานธุรกิจพลังงานทางเลือกให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และอยู่คู่กับสังคมตลอดไป โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการมีผู้ร่วมลงทุนเป็นกองทุนระดับโลก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจทางด้าน Solar Rooftop ไปสู่เวทีสากล ซึ่งจะมีผลบวกในด้านความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นทั้งในด้านเงินทุน ความสามารถในการการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อใหม่ๆที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ และส่งเสริมในด้านของภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรและเป็นที่รู้จักในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศ
นายปรมัตถ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะเห็น CHOW เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากพื้นฐานการดำเนินงานที่มีความเข้มแข็ง มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งจากการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ ทั้งในส่วนของธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทางเลือก ซึ่งเกิดจากการที่กลุ่มบริษัทมีจุดแข็งทางด้านประสบการณ์ของฝ่ายบริหารและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจกว่า 20 ปี วิสัยทัศน์ในแผนการดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใส และระบบการควบคุมภายในที่มีมาตรฐานตรวจสอบได้