นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ของกลุ่มบริษัทฯว่า รายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจ อยู่ที่ 282.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.48 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และรายได้รวมสำหรับ 9 เดือน อยู่ที่ 1,454.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 124.44 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้หลักยังมาจากรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ คิดเป็นร้อยละ 46.69 ของรายได้ จากการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทฯทั้งหมด ทำให้รายได้ของ PRIME บรรลุเป้าหมายของแผนธุรกิจปี 2566 แล้ว
นายพิรุณ ชินวัตร ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน อธิบายว่า ในไตรมาส 3 PRIME เสนอหุ้นกู้มูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม 500 ล้านบาทที่ครบกำหนดในเดือนก.ย. 2566 และใช้สำหรับลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและ PRIME จำหน่ายหุ้นกู้ 200 ล้านบาทได้ครบทั้งจำนวน และชำระคืนหุ้นกู้ PRIME239A อายุ 2 ปี จำนวน 500 ล้านบาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดชำระคืน ในวันที่ 18 ก.ย. 2566 อย่างไรก็ตามในปัจจุบันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การบริหารต้นทุนเงินเป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายนัก สำหรับบริษัทฯที่มีการเติบโตทางธุรกิจ ดังนั้นในไตรมาส 3 แม้ว่ากลุ่มบริษัทฯมีความสามารถในการสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งจากโครงการและ Private PPA รวมทั้งรายได้จากธุรกิจซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายใน 3 ส่วนที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่า ได้แก่ 1. ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น 2. การขาดทุนจากการขายเงินทุนในบริษัทร่วม เนื่องจากบริษัทในกลุ่มมีการขายหุ้นที่ถือครองอยู่ทั้งหมดร้อยละ 25 ลักษณะการลงทุนแบบทีเค-จีเคใน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Awaji โครงการ Yabuki และโครงการ Hino รวม 24.3 เมกะวัตต์ เป็นจำนวนเงินทั้งหมดประมาณ 168.6 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารงานและพัฒนาโครงการของบริษัทฯ และ 3. ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น เป็นผลให้กลุ่มบริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน 5.32 ล้านบาทในไตรมาส 3 ลดลงร้อยละ 142.49 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิรวมสำหรับ 9 เดือนอยู่ที่ 87.79 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20.30 เมื่อเทียบกับปีก่อน
นายสุรเชษฐ์ ชัยปัทมานนท์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยง กล่าวเสริมว่า PRIME ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นผลให้ในปี 2566 นี้ PRIME ได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 4 ดาว หรือ "ดีมาก" ต่อเนื่อง 3 ปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีมาตรฐาน และความพร้อมในการรักษาพัฒนาการกำกับดูแลกิจการในระดับดี และการที่ PRIME ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2566n ของสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ PRIME เติบโตอย่างยั่งยืน
นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆในประเทศไทย โครงการ Solar rooftop ในรูปแบบ Private PPA มี 3 โครงการ มีกำลังผลิตติดตั้งรวม 3.89 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2566 และ โครงการติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ 2 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2.00 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน Miaoli Lake West ประเทศไต้หวัน กำลังการผลิต 200 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างโครงการได้ภายในเดือนมิถุนายนปี 2567 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนบ่อเลี้ยงปลา Budai Outdoor Fishfarm ในจังหวัดเจียอี้ ประเทศไต้หวัน ขนาด 99 เมกกะวัตต์ คาดว่าน่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 2 ปี 2568 ทั้งนี้โครงการทั้งหมดของบริษัทฯ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ PRIME ในการเข้าถึงกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570