เมย์แบงก์ชี้โอกาสมาถึงแล้วแนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากโครงการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนของรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 21, 2023 16:57 —ThaiPR.net

เมย์แบงก์ชี้โอกาสมาถึงแล้วแนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากโครงการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนของรัฐ

บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST เปิดบทวิเคราะห์คัดสรรหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จาก โครงการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้า ครม. ในเร็วๆนี้ เมย์แบงก์ คาดจะหนุนให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือน ธ.ค. นอกจากจะเป็นปัจจัยที่ช่วยมาพยุงดัชนีในภาพรวมแล้ว ยังเป็นบวกต่อหุ้นที่เป็นเป้าหมายเข้าซื้อของกองทุนรวมอีกด้วย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและ FETCO มีรายละเอียดเบื้องต้นของ TESG ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ในการนำเงินลงทุนมาลดหย่อยภาษี ประกอบด้วย

1) วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้

2) ระยะเวลาการถือครอง 8 ปีเต็ม

3) ลงทุนให้หุ้น ESG และตราสารหนี้

หากเปรียบเทียบ TESG กับกองทุนรวมอย่าง SSF ที่ปัจจุบันให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีอยู่ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว เนื่องจาก มีระยะการถือครองสั้นกว่าเหลือ 8 ปี และวงเงินรวมแยกออกจากการลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพระยะยาวอื่นๆ เช่น RMF, ประกันบำนาญ, SSF เป็นต้น) ดังนั้น เมย์แบงก์มองว่า จะได้กระแสตอบรับดีจากทั้ง บลจ. ที่เป็นผู้ออกกองทุนและนักลงทุนที่ได้ลงทุนในกองทุนอื่นๆไปแล้ว หรือยังไม่ได้ลงทุนในช่วงที่ผ่านมา จะหันมาให้ความสนใจ โดยกระทรวงการคลังคาดจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงปลายปีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

ทีมกลยุทธ์ เมย์แบงก์ มีความเห็นว่า สินทรัพย์ที่เน้นลงทุนในหุ้น ESG ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศไปเมื่อ 6 พ.ย. นั้น จะเป็นหุ้นกลุ่มที่กองทุนรวม TESG สามารถเข้าลงทุนได้ โดยกองทุนที่ บลจ. จะออกมาขายส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Active Fund คือลงทุนในหุ้นที่มี ESG Rating ไม่ต่ำกว่า 75-80% ของ NAV ทั้งนี้ เมย์แบงก์ ได้เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน Thailand ESG Fund ภายใต้เงื่อนไขตามนี้คือ มี ESG Rating ที่ดี, บริษัทมีแผนธุรกิจที่จะสามารถสร้างกำไรและกระแสเงินสดได้อย่างยั่งยืน, ราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ, โมเมนตัมกำไร 4Q66 และดีต่อเนื่องในปี 2567และมีสภาพคล่องสูงเพียงพอ แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เป็น Passive ลงทุนตามดัชนี SETESG Index แต่จะมีแรงเก็งกำไรหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณในดัชนี SETESG รอบ 1H67 ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. โดยหุ้นที่เมย์แบงก์ เห็นว่าจะได้ประโยชน์และเข้าเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อ คือ  KBANK SCGP RBF

สำหรับ KBANK (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 150 บาท) มีแนวโน้มกำไร 4Q66 ได้ผลบวกจากดอกเบี้ยขาขึ้นมาช่วยชดเชยค่าธรรมเนียมที่ยังอ่อนแอ และเห็นคุณภาพสินทรัพย์เชิงบวกตั้งแต่ 3Q66 มีการบริหารจัดการที่ดี อีกทั้งได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เน้นเพิ่มกำลังซื้อประชาชน และช่วยเหลือธุรกิจ SMEs สำหรับ ESG Rating อยู่ในระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุด และเป็นหนึ่งในหุ้น Big Cap ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายหลักเข้าซื้อของ TESG จาก Market Cap ที่มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 1.8% ของ SET

หุ้น SCGP  (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 45 บาท) เมย์แบงก์ คาดกำไร 4Q66 จะฟื้นตัวดีขึ้น จากแรงสนับสนุนที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยหนุนกระดาษบรรจุภัณฑ์มีราคาปรับขึ้น   และธุรกิจในอินโดนีเซียได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง 100 ล้านบาท กำไรปี 2567 จะฟื้นตัว 24% YoY  ราคาหุ้นปัจจุบันได้ทรุดลงมาหนักนับจากต้นปี 35%YTD ลงมารับข่าวลบไปเยอะแล้ว แนะนำซื้อสะสม รอการฟื้นตัวตามทิศทางกำไรทีดีขึ้น สำหรับ ESG Rating ได้ระดับ AA มี market cap. และสภาพคล่องสูง

หุ้น RBF  (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 14 บาท) มีกำไรปกติ 3Q66 ทำจุดสูงสุดรายไตรมาสและดีกว่า Consensus คาด 9% เกิดจากรายได้ในประเทศฟื้นตัวดี และต่างประเทศก็ได้แรงหนุนจากลูกค้าของจีนและอินเดีย (คิดเป็นสัดส่วน 44%ของรายได้รวม) แนวโน้มกำไร 4Q66 เติบโตต่อ เพิ่มแรงหนุนให้ราคาหุ้นช่วงท้ายปี ส่วนกำไรปี 2567 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามทิศทางต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง สำหรับ ESG Rating อยู่ระดับ BBB และมีโอกาสถูกนำมาคำนวณในดัชนี SETESG รอบ 1H67 ที่จะประกาศกลาง ธ.ค. นี้ จะมีการเก็งกำไรระยะสั้น เพราะเป็นหุ้นเป้าหมายเข้าซื้อของกองทุน ESG แบบเชิงรับ ก่อนจะมีผลในเดือน ม.ค. 67


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ